วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ปลิดความทุกข์

อย่าหลอกตัวเองว่าเราจะสามารถปลิดความทุกข์ออกไปจากชีวิตได้เหมือนที่เราเปลี่ยนเสื้อที่สกปรกด้วยเสื้อตัวใหม่
ชีวิตมีครั้งเดียว เราเปลี่ยนมันใหม่ไม่ได้เหมือนเปลี่ยนเสื้อ
ที่ทำได้คือ กลัดความทุกข์ไว้กับตัว
อยู่กับมัน ราวกับว่าเราได้ติดเข็มกลัดแห่งเกียรติมนุษย์เอาไว้ที่ใจเรา จิตวิญญาณมนุษย์ที่สามารถแบกรับความทุกข์ตรมไว้ได้ เราต้องยินดีปรีดาต้อนรับความทุกข์ เหมือนหาดทรายที่อยู่รอรับคลื่นสาดกระทบ จนเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน อยู่ตรงนั้นอย่างงดงาม 
อย่าหลอกตัวเองด้วยการเก็บกดความทุกข์ไว้ในใจ แล้วแสดงออกด้วยการฉาบรอยยิ้มบนใบหน้า นี่มันหาใช่รอยยิ้มที่ยินดีปรีดากับความทุกข์ไม่ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ซ่อนความเก็บกดไว้ในใจ จงยิ้มอย่างจริงใจ ยิ้มอยากไม่เก็บกด ร้องไห้ออกมาดังๆเมื่อน้ำตาต้องการอิสรภาพ หัวเราะออกมาดังๆเมื่อเสียงแห่งความสุขอยากออกมาสูดอากาศนอกร่างกาย จงสบถออกมาดังๆ เมื่อเข้าใจแล้วว่าเราคือมนุษย์แสนชั่ว ที่อยากจะสบถใส่ความทุกข์ สบถและก่นด่าเพื่อที่จะทำความรู้จักกับความทุกข์และอยู่ร่วมกับมันได้
ชีวิตมนุษย์ต้องทนทุกข์ไปด้วยกัน และความรักเท่านั้นที่จะเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงความทุกข์ให้ทนอยู่ไหวในใจเรา

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กลอนของแม่ (2)


แม่ผมชอบแต่งกลอน แม่แต่งแล้วไม่มีที่ลง พอดีผมเล่าเรื่อง blog ให้แม่ฟัง แม่จึงขอให้ผมช่วยเอาลง blog นี้ แม่ผมอายุ 67 ปี เคยเป็นครูภาษาไทยมาก่อน แนวคิดทางการเมืองและทัศนคติก็น่าจะเป็นไปตามที่ปรากฏในกลอน แม้ผมจะมีความคิดเห็นต่างจากแม่ แต่เราก็คุยกันได้

------------------------------
"เพราะใคร... โทษใคร... "

ฤาฟ้าดินพิโรธโกรธกริ้ว
พายุลิ้วกระหน่ำน้ำทะเลหนุน
น้ำท่วมขาดแคลนค้าขายขาดทุน
พายุหมุนยางโค่นล้มละลาย

เพราะคนไทยในชาติขาดสามัคคี
ต่างสีต่างความคิดจิตสลาย
ให้เคราะห์ซ้ำกระหน่ำซัดบ้างวอดวาย
แหลกมลายฟ้าดินโกรธโทษตัวเรา

ยังไม่สายหากรักใคร่ปรองดอง
ดุจพี่น้องช่วยกันวันเงียบเหงา
สามัคคีแล้วทุกข์นั้นจะบรรเทา
ความโศกเศร้าหายไปใจเมตตา

วอนเจ้าพ่อหลักเมืองผู้เรืองฤทธิ์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้ใจหรรษา
วอนชาวไทยมีใจกรุณา
พระสยามเทวาธิราชคุ้มโภยภัย

ต่อไปนี้หมดทุกข์โศกแล้วพี่น้อง
หลังพาุยุกึกก้องท้องฟ้าใส
เลิกแบ่งสีแบ่งชนชั้นล้วนคนไทย
ฟื้นฟูใจให้มั่นคงดำรงธรรม
----------------------------

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จากไดอารี่ของแม่ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว


บ่ายวันหนึ่งอันร้อนระอุคล้ายว่ากองไฟโหมกระหน่ำจิตใจ เม็ดเหงื่อเหนียวๆชุ่มไปทั่วทั้งตัว ผมตัดสินใจหลบหนีไอร้อนจากพัดลมสองตัวในห้องของผม เดินผ่านทางเดินระหว่างห้อง ผลักบานประตูเ้้ข้าไปหาแม่ซึ่งนอนเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย คล้ายกลับสู่วัยเด็กอีกครั้ง เด็กซึ่งรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้แม่

เรานอนคุยกันไปเ่รื่อยเปื่อย จู่ๆแม่ก็ลุกไปค้นหยิบไดอารี่เก่าๆออกมาจากลิ้นชักตู้ หน้าปกสีเขียวหม่นมัว เห็นเป็นร่องตัวหนังสือลางๆว่า Diary 1972 ซึ่งก็คือไดอารี่ที่แม่เขียนไว้สมัยสาวๆ ในปี ค.ศ. 1972 หรือ พ.ศ.2515 แม่ไม่รีรอ เปิดออกและอ่านให้ผมฟัง.....

___________________

บางวันแสนเหน็ดเหนื่อย อยากจะหลีกลี้ผู้คนไปสงบสติอารมณ์อยู่เงียบๆลำพังคนเดียว
อยากจะนอนดูท้องฟ้าสีครามพร้อมทั้งคิดคำนึงเงียบๆ
อยากจะคุยกับนกเล็กๆ ที่บินว่อนไปมา
อยากจะฟังเสียงหญ้างอก ไอดิน กลิ่นหอม กลิ่นโคลนสาบควาย
อยากจะนั่งดูพระอาทิตย์ยามอัสดงที่ค่อยๆลับขอบฟ้าตามลำพัง ทอแสงสีสวยงามไว้เบื้องหลัง
อยากจะท่องโคลงกลอนซึ้งๆที่ตัวเองหลงใหลให้ยอดหญ้าฟัง
อยากจะบอกดอกไม้ว่า ขอบใจเจ้าเหลือเกินที่ช่วยให้ฉันเพลิดเพลินด้วยสีสวยและกลิ่นหอม
ขอบใจนกเจ้าที่สร้างโลกอย่างสวยงาม ไม่มีสีใดจะงามเหมือนสีธรรมชาติ
ในทุ่งเีขียวขจีตัดกับเส้นขอบฟ้าสีเงิน ธรรมชาติเป็นเพื่อนเสมอ ไม่ว่าทุำกข์หรือสุข เธอเป็นเพื่อนแท้ของฉันนะจ๊ะ ธรรมชาติที่รัก...

ฉันอยากจะนั่งนับดาวเล็กๆในท้องฟ้าท่ามกลางความเงียบ
ดาวเอย อย่าเปล่งแสงแข่งกับจันทร์เจ้าเลย เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก ปล่อยให้เขาเปล่งรัศมีไปเถิด
ถ้าเป็นดวงจันทร์กันหมดแล้ว ใครหนอจะเป็นดาวเล็กๆระยิบระยิบให้ฉันชม
เจ้ามีค่าสำหรับฉันเสมอ ดาวจ๋า...

ในคืนเดือนมืด ขอบใจดาวดวงเล็กๆที่ส่องแสงเป็นเพื่อนฉัน ยามเหงา.. เศร้า...
ถ้าฉันมีใครสักคนเป็นที่รัก ฉันจะเก็บดาวมาร้อยเป็นพวงเพื่อประดับใจของเธอ
ขอบใจนะจ๊ะ ดวงดาวเล็กๆที่อยู่เป็นเพื่อนฉันจนค่อนคืน

ฉันจะไม่ลืมเธอ พบกันใหม่ในคืนเดือนมืด...

___________________


หลังจากฟังไปอีกหลายต่อหลายบท ผมจึงของแม่เอามาลง blog ในบางส่วน
สวยงามเหลือเกิน เป็นอีกมุมหนึ่งของแม่ที่ทำให้ผมละมุนตื้นตันอยู่ในหัวใจ

_______________________________________________________________

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กนก - สาวิณี

แสงสว่างวาบเล็กๆปรากฏขึ้นเบื้องใบหน้าเมื่อชายหนุ่มจุดไม้ขีดไฟ และจ่อดวงไฟนั้นตรงปลายมวนบุหรี่ เขากลืนกลุ่มก้อนควันแรกลงคอก่อนละเลียดออกมาอย่างผ่อนคลาย ยกข้อมือขึ้นสำรวจเวลา ขยับแจ็คเก็ตให้กระชับอุ่น ชำเรืองสายตาไปยังถนน

สายลมเอื่อยเย็นพัดผ่านช่องระหว่างมุมตึกให้รู้สึกหนาวสะท้าน

ตึกอาคารในละแวกนี้ออกแบบไว้อย่างสวยงาม มีทั้งความร่วมสมัย ความทันสมัยและความเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นผสมปนเปกันไปตามแต่รสนิยมของผู้อาศัย ทอดยาวไปด้วยร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน และร้านขายงานศิลปะ

การสัญจรบนถนนบางตาลงทุกขณะ ความมืดคืบคลานขยายตัวเมื่อร้านรวงต่างๆเริ่มปิดไฟหน้าร้านเก็บข้าวของเข้าด้านใน และเริ่มเลื่อนบานประตูเหล็กม้วนลงเสียงดังกราวเป็นระยะ ชายหนุ่มยิ่งร้อนรนและสังเกตมองถนนบ่อยขึ้น

กนก สูบบุหรี่จนติดก้นมวนก่อนโยนทิ้งลงพื้นพร้อมกับที่พนักงานร้านกาแฟด้านข้างล็อคกุญแจและเดินจากไปในความมืด

สี่ทุ่มตรง กนกสูบบุหรี่ไปแล้วห้ามวน และกำลังเริ่มมวนที่หก

กนกมีผิวคล้ำ ผมยุ่งกระเซิงหนา ผอมแห้งและสูงพอที่จะทอดเงาได้ยืดยาว

เขายืนครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆนานา เหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาในหัวหลายภาพ ชายหนุ่มพยายามนึกปล่อยวางและชินชา

ทุกสิ่งเหมือนเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ทุกสิ่งก็เหมือนไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

แสงไฟสีส้มของหน้ารถคันหนึ่งสาดเข้ามายังกำแพงตึกปลุกให้กนกตื่นจากภวังค์ รถเก๋งสีเทาคุ้นตาเลี้ยวเข้าซอยมาอย่างเร่งรีบ กนกกระเถิบตัวหลบออกด้านข้างพร้อมกับที่รถคันนั้นจอดตรงหน้าเขาพอดี บานกระจกฝั่งคนขับเลื่อนลงช้าๆ แลเห็นสาวสวยนั่งอยู่ด้านใน หล่อนแต่งหน้าเข้มจัด กลิ่นน้ำหอมฉุนปะปนอยู่ในอากาศ

“รอนานมั๊ยจ๊ะกนก ?” หญิงสาวส่งสายตาออดอ้อนในเชิงขอโทษ “ขึ้นมาซิ บุหรี่น่ะทิ้งซะนะ ฉันไม่อยากให้กลิ่นมันติดรถ”

กนกอยากตอบว่าเขารอนาน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาทิ้งบุหรี่ลงพื้น เดินอ้อมตัวรถ เปิดประตูและนั่งข้างหล่อน

“ให้ผมขับมั๊ย?” กนกพยักเพยิดหน้าไปทางพวงมาลัย

“แปลกคน...จะถามทำไม คุณรู้คำตอบอยู่แล้ว” หญิงสาวจบประโยคก่อนเหยียบคันเร่งพาตัวเองและชายหนุ่มเคลื่อนตัวออกสู่ถนนเส้นหลัก ระหว่างทางกนกแอบมองดูใบหน้าหล่อนอยู่บ่อยๆ เขามั่นใจว่าหล่อนรู้ตัว แต่หล่อนแกล้งทำเป็นไม่สน

สาวิณี – หญิงสาวผู้มีความมั่นใจในตัวเองสูงเคลือบอยู่กับความขี้อายในบางขณะ สาวิณีมีแรงดึงดูดรุนแรงต่อเพศตรงข้ามเสมอ หล่อนไว้ผมตรงยาวถึงกลางหลัง ริมฝีปากเรียวเล็ก นัยน์ตาหวาน ผิวนวลสะอาด ความสูงทันแค่ติ่งหูของกนก หุ่นสวยบางเบา และเอวคอด

“นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะจ๊ะกนก ห้าหรือหก” กังวานหวานแหววของสาวิณีดังแทรกเข้ามาในจินตนาการของกนก หล่อนตีสีหน้าขมวดคิดอย่างมีจริต

เสียงวิทยุหรี่เบาจนแทบไม่ได้ยิน

“ไม่รู้ ผมไม่ได้จำ” กนกพูดปด “ถามทำไม?”

“ดูท่าวันนี้คุณไม่ได้ดื่มมา” สาวิณีเบี่ยงเบนไม่ตอบคำถาม หล่อนเอื้อมมืออ่อนช้อยผายออกสัมผัสต้นขาของกนกอย่างนุ่มนวลพลางลูบไล้ไปมาเบาๆ อีกมือหนึ่งกำพวงมาลัยแนบแน่น

“หนล่าสุด คุณเมามากเลยนะ” หล่อนว่า

กนกขบริมฝีปาก เขารู้สึกขมคอเมื่อนึกถึงเบียร์เย็นๆสักแก้ว แต่ก็รู้สึกเสียวซ่านตรงหว่างขามากกว่า

“ผมก็เมาของผมทุกวัน อืม.. ยกเว้นวันนี้”
“ตายจริง.... สงสัยฝนจะตก”

“ผมไม่เมาแล้วมันแปลกอะไรหนักหนา”
“คุณน่ารักเวลาเมา..” หญิงสาวติดปลายเสียงเล้าโลม “และยิ่งน่ารัก เวลาที่คุณหงุดหงิด”

กนกรู้สึกเขินอายจนไม่กล้าพูดอะไรต่อ เขานึกหมั่นไส้หล่อนพร้อมกับที่นึกอยากกอดรัดฟัดเหวี่ยงหล่อนซะประเดี๋ยวนี้

รถเก๋งพาทั้งคู่แล่นสู่ความมืดบ้าง ความสว่างบ้าง แล้วแต่ว่าเป็นซอกซอย หรือเป็นถนนใหญ่ ฤดูหนาวปีนี้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ยกเว้นช่วงกลางคืนซึ่งมักจะหนาวเย็นเสมอ อุณหภูมิภายในรถคงไม่ต่างจากด้านนอกมากนัก กนกเร่งเวลาอยากให้ถึงโรงแรมเร็วๆ เขาจะได้สวมสัมผัสไออุ่นจากสาวิณีเสียที และจะดีกว่านั้นหากได้นอนกอดหล่อนตลอดทั้งคืน

“จอดตรงนั้นที” กนกชี้นิ้ววุ่นวายขณะผ่านมินิมาร์ท “ผมจะลงไปซื้อเบียร์”
“ไม่เอา...” สาวิณีออดอ้อน “ฉันอยากกอดคุณแล้ว เราน่าจะลองกันแบบที่คุณไม่เมาบ้างก็ดีนะ ว่ามั๊ย”

ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรงเมื่อได้ยินดังนั้น เริ่มไม่แน่ใจว่ายังอยากกินเบียร์อยู่หรืออยากโอบกระชับเรือนร่างของหล่อนกันแน่ เขารู้สึกเสียววูบวาบตรงท้องน้อย

“อย่างนั้นคุณก็ขับเร็วหน่อย จริงๆไม่อยากบอกนะ ว่าผมรอคุณนานมาก นานจนหมดความอยาก นานจนผมเริ่มหงุดหงิด” กนกเหน็บอารมณ์ตัดพ้อในซุ่มเสียง เขารู้สึกงี่เง่าและเหมือนกับตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

“น่ารัก.....” สาวิณีเอ่ยเบาๆ หล่อนเหยียดปลายเท้าเร่งกระชากความเร็ว

กนกรู้สึกวาบหวิวกับการเคลื่อนตัวไปบนถนนด้วยความเร็วเช่นนี้



------------------------------------------------------------------------


รถเก๋งสีเทาเลี้ยวเข้าซอยเปลี่ยวแถบชานเมือง ซึ่งปลายทางมีโรงแรมรออยู่ ถนนเป็นดินและขรุขระ บางช่วงถึงขนาดเป็นแอ่ง ดวงจันทร์ทอดแสงนวลอวบอิ่มฉาบทิวทัศน์ให้มองดูสบายตา ทุ่งโล่งข้างทางกว้างใหญ่ตอบรับแสงจันทร์ด้วยการอวดโฉมใบหญ้าพริ้วไหวเป็นคลื่นชั้นลดหลั่นกันไป ชวนให้ภายในจิตใจของกนกโลดแล่นอย่างเสรี จู่ๆเขานึกอยากเพิ่มความตื่นเต้นให้กับค่ำคืนนี้ ความสมบูรณ์แบบต้องมีวิธีการในแบบของมัน

“จอดก่อน ผมมีเรื่องจะบอก” กนกยกฝ่ามือแบออกในลักษณะห้าม จังหวะที่รถผ่านถึงกลางซอย

“คะ?”

“จอดซิ จอด ตรงนั้นไง” กนกชี้ไปข้างทาง

สาวิณียิ้มอย่างมีเลศนัย แต่หล่อนก็เหยียบเบรคเทียบจอดตรงตำแหน่งที่กนกบอก

“ไม่เอานะ ฉันไม่ชอบทำบนรถ”

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วยจริงๆ” กนกทำท่าเคร่งขรึม

“ไม่ต้องเลย” สาวิณีทุบหน้าอกชายหนุ่มเบาๆด้วยกำปั้น พอดีกับที่ชายหนุ่มรีบปาดยกมือซ้ายกดทับมือของหล่อนกุมไว้แนบแน่นเหนือหน้าอกของเขาอย่างทันท่วงที ก่อนใช้ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งโอบลูบเส้นผมของสาวิณีไล่ลงจนถึงต้นคอ

“สาวิณี... ผมอดไม่ได้ที่จะไม่คิดถึงคุณ ไม่เคยเลยสักคืน...”

.....สาวิณีแน่นิ่ง นัยน์ตาเบิกกว้าง ผมดำขลับของหล่อนส่ายไปมาช้าๆ ใจหนึ่งไม่นึกเชื่อ แต่อีกใจหนึ่งกลับตื้นตัน หล่อนไม่ได้ยินชายใดเอ่ยวาจาสุภาพแบบนี้มาแสนนาน หัวใจของหล่อนนั้นชินชาเสียแล้ว มันอาจชินชาเสียจนต้องปักใจเชื่อว่า ในโลกนี้คงไม่มีชายใดจะมอบความรักให้หล่อนได้

กนกฝากตัวเป็นลูกค้าประจำของหล่อนมาหลายเดือนแล้ว สาวิณีคิดเพียงว่าการบำเรอร่างของหล่อนคงมีค่าเพียงธนบัตรไม่กี่ใบ แต่นาทีนี้สาวิณีรู้สึกว่าหล่อนมีค่ามากกว่านั้น มันทำให้หล่อนแทบอยากหัวเราะออกมาดังๆ ยิ้มเยาะให้กับชีวิตตัวเอง หรือแม้กระทั้งอยากตะโกนระบายความขับข้องใจอะไรบางอย่าง ตะโกนออกไป แม้จะไม่มีใครได้รับฟัง

“กนก..” สาวิณีพูดอย่างตีบตันและอ่อนแรง หล่อนถอนหายใจสั่นไหว “มันเป็นไปได้เหรอคะ”

ชายหนุ่มใช้ทั้งสองมือโอบศีรษะของสาวิณีเข้าสวมกอด
“ผมเหงามาก เหงามาตลอด คุณก็รู้ บางทีผมอาจเหงาเกินไป แต่รู้มั๊ย ผมคิดถึงคุณเสมอเวลาตื่นในตอนเช้า รวมถึงตอนที่ผมกินข้าว หรือแม้ขณะที่หัวผมถึงหมอนในกลางดึก”

“คุณพูดจาแบบนี้ก็เป็น” สาวิณีกระซิบในอ้อมกอด “ฉันคิดว่าคุณเป็นคนแข็งทื่อ ไร้อารมณ์เสียอีก”

“ผมอ้างว้างต่างหาก” กนกว่า “มันเงียบมากเวลาผมอยู่คนเดียว ผมอ่านหนังสือ ผมดูหนัง หรือไม่ก็ฟังเพลงไปตามเรื่องตามราว”

“เราจะอยู่ด้วยกันได้จริงๆหรือ” สาวิณีเร่งถามราวกับว่าหล่อนไม่ได้ฟังที่ชายหนุ่มพูดเมื่อครู่

กนกเบนสายตาออกไปนอกรถ บนทุ่งโล่งกว้างนั้น ใบหญ้าพัดไหวอยู่ในความสลัวและลึกลับ

“ทำไมจะไม่ได้” เขาตอบ

สาวิณีขมวดคิ้ว
“งานที่ฉันทำมัน....”

กนกจุ๊ปากห้ามไม่ให้หล่อนพูดต่อ
“ผมไม่แคร์ เพียงแต่คุณต้องหยุดทำเสียก่อน”

สาวิณีนิ่งไปอีกครั้ง หล่อนรู้สึกว่าเริ่มเผลอตัวเพ้อฝันจนเกินไป เพราะในความเป็นจริงนั้น มีเหตุผลร้อยอย่างพันอย่างที่ทำให้หล่อนต้องทนทำงานบำเรอตนแบบนี้ หล่อนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำทุกอย่าง ซึ่งแน่นอน รวมถึงตัวหล่อนด้วย

ที่สำคัญหล่อนจะแน่ใจได้หรือ ว่าคำพูดที่หล่นจากปากชายหนุ่มที่หล่อนเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เป็นความรู้สึกจริงๆที่มาจากหัวใจหรือเป็นเพียงลมปากเพื่อปลอบโยนหรือเพื่อเอาอกเอาใจเท่านั้น

เงิน – ใช่ เงินนั้นสำคัญ สาวิณีเห็นว่าเงินนั้นสำคัญยิ่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่หล่อนบูชามันอย่างโง่งม

เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า สวยงามก็จริง แต่หล่อนไม่ได้ซื้อใช้อย่างฟุ่มเฟือยเสียหน่อย แม้จะต้องซื้อไอ้อย่างที่มียี่ห้อที่เขานิยมกันอยู่บ้าง นั่นก็เพราะความจำเป็น ผู้ชายทั้งหลายนี่แหละ ! เป็นเรื่องจริงที่ผู้ชายหลายคนมักแอบเพ่งเครื่องแต่งกายหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยการมองหาป้ายยี่ห้อเพื่อเพียงให้มันดูเหมาะสมกับตัวเขาบ้างเท่านั้นเอง สาวิณีจำเป็นต้องสร้างภาพขึ้นมาให้หล่อนดูดี สมกับที่ต้องไปทานข้าวหรือเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้ากับลูกค้าระดับที่เรียกกันว่าเสี่ย รถที่หล่อนใช้อยู่ก็จำเป็นต้องซื้อต้องผ่อนเพราะมันมีสเน่ห์กว่าแน่ถ้าหล่อนมีรถขับ หล่อนถือเป็นการลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า

ผู้หญิงอายุยี่สิบอย่างสาวิณีจะทำอย่างไรได้เล่า หากต้องหาเงินเดือนละหลายหมื่นเพื่อช่วยพ่อใช้หนี้ หนี้ที่เกิดจากแม่ที่ไม่เอาไหน สาวิณีคิดไม่ออกจริงๆ เป็นพนักงานเสริฟอย่างนั้นหรือ พนักงานร้านกาแฟอย่างนั้นเหรือ เดือนละสี่ห้าพันก็ใช้ได้แค่กินแค่อยู่ การศึกษาหล่อนก็สิ้นสุดอยู่เพียงมัธยมปลาย จะให้ทำอะไรได้มากไปกว่านี้

บางคนว่าเหตุผลทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้าง แต่สาวิณีก็รู้ดีแก่ใจเสมอว่าหล่อนเป็นใคร ลำพังหากหล่อนตัวคนเดียว หรือพ่อของหล่อนไม่ได้มีหนี้ท่วมหัวอย่างนี้ หล่อนจะทำอะไรก็ได้ เดินขายสร้อย ขายกำไรข้อมือ รับจ้างดูแลเด็ก หรือรับจ้างทำความสะอาดบ้านก็ได้ หรือเอาที่สะดวกก็พนักงานเสริฟนี่แหละ แต่ในเมื่อบิลทวงหนี้จากธนาคารของทุกๆเดือนมันระบุจำนวนเงินเป็นหมื่นๆและกำหนดเวลาที่ต้องจ่ายค้ำคออยู่แล้วนั้น จะให้หล่อนทำอย่างไร งวดไหนค้างจ่ายก็ถูกขู่จะยึดบ้าน หลายครั้งที่สาวิณีปรึกษากับพ่อเรื่องหลบหนี แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะหนีไปที่ใด หมู่ญาติก็มีแต่จะซ้ำเติม เรื่องทั้งหมดก็เพราะแม่คนเดียว

สาวิณีเห็นแม่ติดเหล้าและเข้าบ่อนตั้งแต่หล่อนจำความได้ แม่สร้างแต่หนี้ให้พ่อที่ทำงานอย่างสุจริต จริงๆงานของพ่อก็ไม่ได้ต้อยต่ำอะไร พ่อเป็นถึงครูอาจารย์ที่สอนในโรงเรียนมัธยม แต่หนี้ที่แม่สร้างขึ้นมานั้นมันมากกว่าเงินเดือนพ่อหลายเท่า สาวิณีไม่เคยรู้ว่าทำไมแม่ถึงเปลี่ยนไป พ่อก็ไม่เคยบอกเล่าถึงเหตุผลให้ฟังเสียที บอกเพียงว่าพ่อรักแม่ พ่อจึงเข้าใจแม่ สาวิณีพยักหน้าฟังอย่างไม่มีทางเข้าใจ หล่อนเกิดมาก็เห็นแม่เป็นอย่างที่ไม่เหมือนแม่คนอื่นเป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ความโกรธแค้นน้อยเนื้อต่ำใจที่สาวิณีมีต่อแม่ก็เห็นทีจะไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย จะวุ่นวายเอาความอะไรกับใครได้อีก ในเมื่อแม่ของหล่อนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

เรื่องราวส่วนตัวทั้งหมดนี้ สาวิณีไม่เคยร่ายเรียงให้กนกฟัง กนกอาจคิดเพียงว่าหล่อนจำเป็นต้องหาเงิน หล่อนเป็นผู้หญิงบ้านแตกที่นึกสนุกไปวันๆ หรืออาจคิดว่าหล่อนเพียงหาเงินเพื่อใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเท่านั้น

“สาวิณี” กนกเอ่ยชื่อหล่อนอย่างอ่อนโยน ท่ามกลางความเงียบของหัวใจ หญิงสาวยังคงซุกใบหน้าอยู่ในอกของชายหนุ่ม หล่อนแอบเช็ดน้ำตาโดยที่เขาไม่รู้ตัวก่อนผละร่างอันอ่อนระทวยของตัวเองแยกออกจากอ้อมกอด

“กนกคะ” หล่อนสอดดวงตาประสานใบหน้าของกนกตรงๆ และทิ้งช่วงให้เขาได้มองเห็นรอยเว้าวอนในใจหล่อน “คุณต้องการอะไรจากตัวฉันหรือ?”

“คุณหมายความว่าไง” ชายหนุ่มประหม่ากับแววตาค้นหาคำตอบของหญิงสาว เขาถามใจตัวเองด้วยคำถามเดียวกันว่าแท้จริงแล้ว เขาต้องการอะไรจากหล่อนกันแน่

กนกยอมรับว่าสาวิณีมีใบหน้าและกริยาอันสดสวย สะกดเขาให้หยุดนิ่งได้ในทุกนาที นิสัยหล่อนยิ่งน่ารักไม่มากหรือไม่น้อยไปกว่าเรือนร่าง สาวิณีอาจใช้คำพูดเปลือง แต่ในบางสถานการณ์หล่อนก็รู้จักที่จะไม่พูด หล่อนเป็นคนตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับที่หล่อนรู้จักจริตของผู้หญิงและใช้มันอย่างพองามถูกกาลเทศะ สาวิณีโอบอ้อมอารี ไม่พูดว่าร้ายใครง่ายๆ เว้นแต่จะมีมูลเหตุชัดเจน

จะมีอะไรในตัวผู้ชายวัยอย่างกนก ที่มักให้ความสำคัญในเรื่องความรักกับความใคร่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน กนกให้เหตุผลกับตัวเองว่าธรรมชาติสร้างให้เขาเป็นเช่นนี้ ในคืนที่เปลี่ยวเหงา เขานอนหลับตานึกถึงใบหน้าของสาวิณี การพาดผ่านกายของหล่อนในเชิงกามรสในหลายคราเป็นเหมือนการหยิบยื่นความชื่นฉ่ำบนดินแดนที่น่าอยู่อาศัยตลอดกาลให้แก่เขา ความสับสนเริ่มทวงถามกนกอีกครั้ง – เขารักหล่อนหรือหลงรูปกายหล่อน?

แน่นอนว่ากนกไม่รู้ในคำตอบ ส่วนที่เขาได้พูดออกไปแล้วนั้น เขาพูดเพราะหัวใจเป็นฝ่ายบอกให้พูดต่างหาก ชายหนุ่มทึกทักเปรียบเทียบเอาเองว่าตัวตนกับหัวใจ อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน และกล้าสาบานว่าเขาไม่ได้เอ่ยคำถวิลอาวรณ์โดยมีเจตนาแอบแฝงหรือตั้งใจจะหลอกลวงความรู้สึกของสาวิณี

“ผมอยากอธิบายให้คุณฟังว่าคุณสวยแค่ไหน แต่จะให้ผมพูดเท่าไรก็ไม่หมดหรอก” กนกกล่าวเบาๆ สาวิณีจ้องตาเขาอย่างจับพิรุธ หล่อนจับท่อนแขนของเขาเขย่า

“คุณถามใจตัวเองอีกทีซิว่า ต้องการอะไรจากฉัน”

กนกส่ายหัวช้าๆ เขาเอนหลังพิงเบาะใคร่ครวญ
“ผมโกหกไม่ได้หรอกว่าผมอยากนอนกับคุณในคืนนี้ แต่... คุณลองทายซิว่า ผมวางแผนอะไรไว้ หากเราย้ายไปอยู่ที่อื่น แล้วตั้งต้นชีวิตกันใหม่ ”

“ฉันไม่รู้หรอกค่ะกนก”

“เราจะหาบ้านเช่าถูกๆ” กนกโบกมือไปมาในอากาศ “ผมพอมีเงินเก็บนิดหน่อย แต่งให้สวย.. ใช่ซิ แต่งในแบบที่คุณชอบ แต่ต้องให้ผมมีห้องฟังเพลงห้องนึงนะ คุณอาจจะอยากได้ห้องครัวที่สะดวกสบาย จากนั้น เราจะตระเวนหาทำเลดีๆ หาซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นมาขายกัน อยู่กันสบายๆ เราไม่จำเป็นต้องรวยก็ได้นี่จริงมั๊ย”

สาวิณีนึกถึงหนี้สินและปัญหามากมายที่กนกไม่เคยรู้ หล่อนก้มหน้าลงมองปลายเท้าตัวเองในความมือสลัว เท้าที่พาร่างของหล่อนไปบำเรอผู้ชายหลายประเภท มีทั้งที่น่ารังเกียจ เห็นผู้หญิงเพียงแค่ความสนุกความใคร่ ทั้งที่นิ่งๆเฉยๆไม่รู้ในใจคิดอะไร หรือทั้งที่น่ารัก ให้เกียรติผู้หญิงและเป็นสุภาพบุรุษ ซึ่งกนกก็เป็นแบบนั้น

“คุณหายสงสัยแล้วหรือว่า ทำไมฉันต้องมาทำงานแบบนี้” สาวิณียังไม่เงยหน้าจากปลายเท้า

“คุณเคยบอกผมว่ามันเป็นเหตุผลส่วนตัว ผมก็เลยไม่อยากคะยั้นคะยอ บอกผมมาซิ อาจเป็นเหตุผลที่ดี ผมเชื่อแบบนั้น”

สาวิณีเบือนหน้าออกนอกหน้าต่าง ทุ่งโล่งที่มองดูกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดกลับทำให้หล่อนรู้สึกอึดอัดใจ แม้หล่อนไม่แน่ใจนักกับการจะเล่าเรื่องราวต่างๆให้กนกฟัง แต่หล่อนก็ไม่อยากเก็บมันไว้อีกต่อไป และไม่ว่าท่าทีของกนกจะเปลี่ยนไปในทางใด อย่างน้อยมันก็ดีที่หัวใจอันช้ำระทมของหล่อนจะได้ระบายความผิดเพี้ยนของชีวิตบ้าๆนี้ออกไปได้บ้าง

ทุกเรื่องราวของสาวิณีที่เคยเป็นความลับต่อกนกจึงได้เปิดเผยอย่างหมดสิ้น ชายหนุ่มนั่งฟังด้วยหัวใจอันว่างเปล่า เขาไม่รู้ควรจะคิดหรือไม่คิดอะไรต่อไปดี มันเหมือนเวลาหยุดหมุนชั่วขณะ กระจกรถทั่วทุกด้านขุ่นมัวไปด้วยฝ้าไอน้ำ กนกได้ยินเสียงหายใจของสาวิณีเจือจางอยู่ในความหนาวเหน็บ พอตั้งสติได้ เขาจึงเริ่มทบทวนความจริงเหล่านั้น และยอมรับว่าไม่สามารถช่วยเหลือสาวิณีได้เลยไม่ว่าจะทางใดก็ตาม

มีเพียงคำพูดปลอบโยนเป็นกำลังใจให้หล่อนเท่านั้น กนกเองเป็นพนักงานเงินเดือนของบริษัทเอกชน รายได้ต่อเดือนของเขาน้อยกว่าของสาวิณีอยู่มากโข จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะช่วยเหลืออะไรในเรื่องค่าใช้จ่าย เขาเริ่มคิดแบ่งแยกความรักความใคร่ออกจากชีวิตจริง และสับสนกับการทำหน้าที่ของค่ำคืนนี้ให้ลุล่วง เดิมทีเดียวเขาคิดถึงสาวิณีด้วยความใคร่ อีกหนึ่งหัวใจก็ยังรู้สึกดีกับหล่อนมากเกินที่จะทนไม่สานต่อความสัมพันธ์ไว้ได้ เพียงแต่เขาคิดไตร่ตรองบนพื้นฐานที่ง่ายเกินไป คิดถึงเฉพาะกับความรู้สึกส่วนตัว

การปฏิบัติตัวให้สมหมายในคืนนี้ก็ไม่ได้ลำบากลำบนสักนิด เพียงแค่ไปนอนกับหล่อน และจ่ายเงินตามสัญญาอาชีพ เงินสองพันบาทก็วางรอให้หยิบอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาแล้ว

กนกในตอนนี้ เริ่มมีท่าทีอ่อนไหว เขาเศร้าและเห็นใจสาวิณีด้วยใจจริง ความสับสนทั้งปวงจึงทวีขึ้นตามลำดับ คำหวานซึ้งที่พูดออกไปด้วยความคลุมเคลือของเขาเมื่อครู่ คล้ายว่าจะค่อยๆจับต้องได้จริงๆเสียแล้ว – ความรักคือความเห็นใจอย่างนั้นหรือ? กนกหลับตาค้นหาคำตอบ

“ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มพยักหน้าชวนให้สาวิณีออกรถ



--------------------------------------------------------------------------



ภายในห้องพักของโรงแรมผนังปูนสีขาวขุ่นมัวหมองเป็นหลักฐานสำคัญบอกได้ว่าสถานที่นี้เก่าแก่พอควร ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม และหมอนสีขาวถูกพับปูและวางไว้อย่างเป็นระเบียบ สาวิณีนั่งลงตรงขอบเตียง หล่อนมีสีหน้านิ่งสงบ

กนกเดินตรงไปเปิดเครื่องปรับอากาศรุ่นโบราณส่งเสียงอิดออดงุ่มง่ามตามอายุการใช้งานของมัน เขานั่งลงข้างๆสาวิณีและสวมกอดหล่อนด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากที่เคย

“ผมเอาใจช่วยคุณนะ สาวิณี” กนกลูบปลายผมของหล่อนช้าๆ “ผมรู้สึกดีกับคุณมาก มันเป็นความรู้สึกที่แปลก ผมคงอ่อนแอและเหงาจนเกินไป แต่ก็อย่างว่า ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ บางสถานการณ์อาจทำให้คนสองคนรักกันไม่ได้ แต่เราก็ยังเลือกที่จะรู้สึกดีต่อกันได้ จริงมั๊ยจ๊ะ”

“คุณคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ดีหรือเปล่า.....” สาวิณีสั่นสะอื้น

“ไม่เกี่ยวหรอกนะว่าดีหรือไม่ดี” กนกคลายกระชับกอด เขาเอนตัวนอนลงบนตักของหล่อน “ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันเอง ดูคุณซิ คุณเหนื่อย คุณปวดร้าว และคุณอาจทนทุกข์ แต่จะมีใครกตัญญูเท่าคุณ เพียงแค่นี้มันก็ตอบคำถามในตัวเองได้อยู่แล้วว่าคุณทำทุกอย่างเพื่ออะไร ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยด้วยซ้ำ”

น้ำตาหยดน้อยๆของสาวิณีหยดลงบนแก้มของกนก ชายหนุ่มนึกอยากร้องไห้ออกมาบ้าง ชีวิตเขาก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องเจ็บปวด กนกเหงาและอ้างว้างมานาน เขาอยากมีใครสักคนที่คอยอยู่ข้างๆเสมอ ใครสักคนที่เป็นกำลังใจ แม้ในยามที่เขามีความสุข ในยามที่เขาเห็นความสวยงามของชีวิต เขาทำได้แค่เพียงพูดให้ตัวเองฟังเท่านั้น

เสียงคร่ำครวญของสาวิณีฟังดูหดหู่ หล่อนไม่อายที่จะปล่อยโฮออกมาในบางช่วงอารมณ์ กนกหลับตาลงช้าๆ เขาพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมาเปื้อนใบหน้า แต่ก็เป็นเพราะความอ่อนแออีกเช่นเคยที่ทำให้ใบหน้าของกนกในยามนี้ พร่างพรมไปด้วยหยดน้ำตาของสาวิณีและอาบไปด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์ ความสุข ความรัก ความฝัน ความเศร้า ความปลาบปลื้มและความเจ็บปวดของตัวเขาเอง...


----------------------------------------------------------------------------


กนกลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงขาวสะอาดเพียงลำพัง เสียงเครื่องปรับอากาศโหยหวนอย่างอ่อนแรง บนโต๊ะข้างเตียงมีกระดาษสีขาวเล็กๆพับวางอยู่
กนกเปิดจดหมายนั้นอ่าน...

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
กนก..

ฉันเห็นคุณหลับสบายจึงไม่อยากปลุก คุณนอนอมยิ้มด้วยนะรู้มั๊ย?

กนกจ๊ะ ฉันบอกคุณได้เลยว่าคุณควรจะภูมิใจ ที่คุณเป็นทั้งผู้ชายที่แสนน่ารัก ให้เกียรติผู้หญิงและเป็นสุภาพบุรุษ หวังว่าคุณคงไม่โกรธนะถ้าฉันอยากเตือนคุณด้วยความเป็นห่วงและความหวังดีสักหน่อย กนกจ๊ะ.. ความเหงานั้นมันเป็นแค่อารมณ์ที่คนเราสร้างขึ้นมาเอง ฉันก็เคยเหงาเหมือนอย่างเธอนี่แหละ ความเข้มแข็งต่างหากที่จะทำให้เราข้ามผ่านความเหงาอ้างว้างไปได้

ฉันคิดว่าความเหงาของคุณ เป็นต้นเหตุให้คุณสับสน คุณอยากพบฉันเพราะความเหงา คุณบอกรักฉันเพราะความอ้างว้าง เปล่านะ ! ฉันไม่ได้ดูถูกหรือตัดพ้อในคำบอกรักที่คุณให้แก่ฉัน ฉันรู้ว่าคุณพูดขึ้นมาจากความรู้สึก คุณพูดโดยไม่ได้ตั้งใจจะลวงหลอก แต่ความรู้สึกที่เกิดจากความมั่นคง กับความรู้สึกที่เกิดจากความสับสน มันบอบบางไม่แพ้กันหรอกนะกนก

ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่คุณให้ฉันอย่างบริสุทธิ์ใจและขอบคุณสำหรับความอบอุ่นที่ฉันได้รับจากคุณเมื่อคืนก่อน... บนทางเดินของเรามันแตกต่างกันยิ่งนัก แท้จริงอาจเหมือนเราอยู่กันคนละโลกเสียด้วยซ้ำ ฉันต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างอดทนบนหนทางที่ฉันเลือก ส่วนคุณ กนก ฉันขอให้คุณพบเจอคนที่อยู่บนเส้นทางเดินเดียวกันกับคุณ และแต่งเติมความฝันนั้นให้แก่คุณจนเต็ม

ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้เธอเสมอ แม้ว่าเราอาจไม่ได้พบกันอีก..

รักและห่วงใย
สาวิณี
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""


กนกค่อยๆเก็บพับจดหมายและเหน็บลงกระเป๋ากางเกงอย่างทะนุถนอมก่อนพบว่าเงินสองพันบาทของเขายังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม




- จบ -

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีสิทธิ์ที่เขาจะได้บอกรักเธอ

ณ ปั๊มน้ำมันแถบชานเมือง

แสงแดดเจิดจ้า ไอร้อนระอุเหมือนถนนที่เห็นอยู่เบื้องหน้ากำลังเริงระบำและแทบจะละลาย เหงื่อไหลย้อยจากขมับสู้หางคิ้ว บางจังหวะก็หลุดลอดเข้าม่านตา ทำให้จ๊อดรู้สึกแสบตาจนต้องใช้นิ้วมือขยี้ กลิ่นน้ำมันเบนซินไม่ได้ทำให้เขาอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เขาคุ้นเคยจนลืมไปแล้วว่าแสบจมูก

“น้องๆ เก้าหนึ่งเต็มถัง” ชายผู้สัญจรพูดราวกับออกคำสั่ง
จ๊อด หยิบหัวจ่ายน้ำมัน ทำหน้าที่อย่างอัตโนมัติและไม่มีบกพร่อง แต่ทุกครั้งที่เขาเติมน้ำมันให้ใครต่อใคร เขามักคิดในใจว่า – อย่าให้ข้ารวยบ้างแล้วกัน

ฤดูท่องเที่ยวเทศกาลปีใหม่ ทำให้จ๊อดขยันขันแข็งขึ้นอีกหลายเท่า เจ้านายจะให้โบนัสพิเศษสำหรับเด็กปั๊มที่ขาดงานน้อยที่สุดในช่วงตลอดปี จ๊อดเป็นหนึ่งในนั้น ด้วยวัยเบญจเพส เขาค่อนข้างผ่านโลกมาหลายรูปแบบ หาเงินเลี้ยงชีพตัวเองมาตั้งแต่นมเริ่มแตกพาน

จ๊อดประหยัดอดออม งดของมึนเมาทุกชนิด เขาออกจากวงการนั้นเสียแล้ว เขาเคยติดเหล้าเหมือนผู้หญิงติดการเดินช็อปปิ้ง
หลังจากปีใหม่นี้ จ๊อดจะมีเงินสะสมพอที่จะดาวน์มอเตอร์ไซค์ได้สักที เขาอยากให้แม่มีรถคันใหม่เอาไว้ขี่เข้าสวน คันที่แม่ใช้อยู่มันเก่าเต็มที เขาอยากเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่ที่ไม่ได้เห็นมานานตั้งแต่วันที่พี่ชายของเขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา – ไอ้เอก เอ็งมันเลว ทิ้งแม่ได้ลงคอ

ในเบื้องลึกที่สุดของจิตวิญญาณ จ๊อดเป็นบุตรที่กตัญญู แม้จะเคยเกเรมาก่อน ไม่เว้นกระทั้งยาเสพย์ติดชนิดเม็ด ครั้นปัจจุบันเมื่อเขาคิดได้จึงเดินออกมาอย่างผงาดและอยากเป็นคนดีให้ถึงที่สุด

อย่างไรก็ตาม จ๊อดคือผู้ชาย และธรรมชาติผลิตชายหญิงให้คู่กัน
ในชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่กล้ารักใคร เขาเหม็นเน่าในความจนของตัวเองและไม่ต้องการให้ใครต้องมาทนเหม็นด้วย จิตใจของเขาอ่อนแอเหลือเกิน เกินที่ใครจะรู้.....

สุดท้ายเขาก็ต้องพ่ายแพ้และกล้ำกลืนกลิ่นนั้นให้กลายเป็นกลิ่นหอม
วันหนึ่งจ๊อดคิดว่าตัวเองอาจมีกลิ่นเหมือนดอกไม้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

หญิงสาวอายุสามสิบต้นๆ เป็นหญิงคนแรกที่จ๊อดหลงรัก
เธอขับรถสปอร์ตสีแดงสดคันหรู ป้ายทะเบียน กก-๙๙๙ และจอดเติมน้ำมันเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง บ้านเธอคงจะอยู่แถวๆนี้
เธอสวยในแบบฉบับดาราที่เกินจะใฝ่ แต่คงยากถ้าจะมีแมวมองที่ไหนจะมาเดินเล่นแถวนี้

ทุกครั้งที่เธอมาใช้บริการ จ๊อดจะให้บริการเยี่ยงสุนัขรับใช้ เขารู้ดีว่าเธอเห็นเขาเป็นเพียงเด็กปั๊มที่เรียกใช้ได้ตามใจอยากเท่านั้น เธอเป็นลูกคุณหนูที่เคยชินกับการเรียกใช้ใครๆ ซึ่งบางครั้งอาจตบท้ายด้วยการโยนเศษเงินใส่หน้า เพื่อรักษาระยะห่างของชนชั้น

สาวไฮโซ กับเด็กปั๊ม ช่างตลกสิ้นดี - แต่จ๊อดไม่ตลกด้วย (เขาฝากบอก)


จ๊อด เติมความคิดถึงเข้าไปพร้อมกับน้ำมัน
จ๊อด เติมความห่วงใยเข้าไปพร้อมกับลมที่ทำให้ทั้งสี่ล้อพาเธอไปได้ทุกที่
จ๊อด เติมความสุขให้เธอพร้อมกับฟองน้ำยาทำความสะอาดที่ละเลงลงบนกระจก ให้เธอมองเห็นทางได้ สะดวกเวลาขับขี่
จ๊อด เติมความสุขให้ตัวเองขณะที่มือของเขาสัมผัสกับมือของเธอ ตอนส่งเงินทอน และอาจได้สัมผัสอีกครั้งหากวันนั้นเธอทำการรักษาระยะห่างของชนชั้น – เหรียญสิบ หรือ แบงค์ยี่สิบ

เขาหาความสุขโดยวิธีนี้มาเกือบขวบปีแล้ว

แต่เขาไม่เคยพูดกับเธอเลยสักคำ อย่างมากก็แค่แกล้งไอ ให้เธอได้ยินเสียงของเขาบ้าง

จ๊อดเพียงแค่ฟังคำสั่งและปฏิบัติตาม เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะได้บอกรักเธอ
สิ่งนี้สำคัญ เขาอึดอัดเหมือนถูกใครจับยัดลงไปในท่อระบายน้ำโสโครก เขาอาจมีค่าต่ำกว่าเม็ดทรายละเอียดที่ช่างนำไปผสมปูนโบกผนังเสียอีก บางคืนเขานอนร้องไห้รันทดถึงชีวิตที่ไม่น่าเกิดมา

จ๊อดยืนมองถนนลาดยาง และนึกอยากชวนเธอควบไปบนมอเตอร์ไซค์ ขับไปเรื่อยๆอาจเป็นทะเล หรือภูเขา หากเธออยากโลดโผนกับชีวิตบ้าง และเกือบจะในทันทีฝันก็สลาย เมื่อเธอควบรถสปอร์ตคันแดงแพงวาววับไม่มีแม้ฝุ่นเกาะ จอดเอี๊ยดข้างหัวจ่ายน้ำมัน

เขาจึงตื่นจากภวังค์ และแปลงร่างเป็นสุนัขรับใช้ กระฉับกระเฉงและว่องไว

ขณะแอบสังเกตเห็นว่าวันนี้เธอใส่ตุ้มหูอันใหม่ เขานึกห่วงหวงเธอ อยากคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
ใช่ – ดูแลทุกอย่างตั้งแต่เล็บเท้าจนถึงสนามหญ้าหน้าบ้าน และอยากนึกเท่เหมือนในภาพยนตร์เป็นบอดี้การ์ดติดตามเธอดั่งเงา

ไม่แคล้วกับที่เขาคิด เมื่อเหตุการณ์มาบรรจบ
หลายครั้งที่ชายสองคนท่าทางน่ากลัวขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าปั๊ม

และครั้งหนึ่งหลังจากที่เธอมาเติมน้ำมัน พวกมันเคลื่อนรถออกไป จ๊อดมองว่าเป็นการสะกดรอย

จ๊อดสังหรณ์ใจถึงภยันตรายที่จะเกิดขึ้นกับคนที่เขาแอบรัก เขานอนไม่หลับบ่อยขึ้น เมื่อชายสองคนนั้นปรากฏตัวให้เห็นเป็นอาจิณ -- พวกเอ็งสองคนจะทำอะไรเธอ ต้องผ่านศพข้าไปก่อน

พลังแห่งสันดานเดิมของเขาพุ่งพรวดสำลักออกเป็นคำสบถ เขานึกโกรธแค้นอย่างไม่รู้จะบอกใคร

จ๊อดอยากบอกเรื่องนี้กับเธอ แต่เธอไม่เคยเหลียวมองเขาแม้หางตา เขาถูกจับให้ยืนอยู่นอกวิถีสายตาเธอเสมอ เขาจึงได้แต่ยั้งปาก

บางครั้งชายสองคนนั้นเลี้ยวรถเข้ามาในปั๊มแล้วขับวนออกไป
จ๊อดมองตามตาเขม็งเหมือนพญาราชสีห์อยากเขมือบกวางในทุ่งโล่ง เพียงแต่กวางตัวนั้นร่างกายกำยำกว่าปกติและมีถึงสองตัว
เขาตัวคนเดียวจึงนึกกลัว

ไม่กินเวลาถึงสัปดาห์ แต่ดูเหมือนเร็วจนเบรกไม่อยู่
เย็นวันนั้น ชายสองคนถูกยิงพรุ่นตายคาถนนแถบชานเมือง
และไม่กินเวลาถึงครึ่งวัน เจ้าหน้าที่สวบสวนอันดับหนึ่งแห่งท้องถิ่น เปิดไซเรนดังสนั่นปิดทางสกัดกั้นถนนเส้นนั้นและเส้นใกล้เคียง
ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์คาตาบอกว่ามันวิ่งเข้าไปในป่าลำไยริมถนน
นกหลายฝูงบินหนีกันอึกทึก เพราะถูกแทรกแซงความสงบจากผู้คนและเสียงโทรโข่งเซ็งแซ่

แทนที่จะเป็นมอเตอร์ไซค์คันใหม่ของแม่ กลับกลายเป็นปืนลูกโม่เถื่อนที่หาซื้อได้จากรุ่นพี่ที่เคยรู้จัก

ตำรวจล็อคกุญแจมือเข้าที่ข้อมือของจ๊อด ผู้ซึ่งใบหน้าหวาดวิตก
นิมิตภาพลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของเขา เป็นจินตนภาพของหญิงสาวไฮโซที่เขาแอบรักกำลังร้องไห้ซบที่อกเขาและกล่าวขอบคุณจนไม่รู้จะทดแทนอย่างไร เขาเอามือลูบหัวเธอเบาๆและบอกรักเธอ ตามมาด้วยภาพของแม่ที่กำลังขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าเข้าสวนด้วยความทุลักทุเล

สายไปเสียแล้วสำหรับเขา

จ๊อดคิดว่าน้ำตาของเขากำลังหยดลงดิน ภายนอก วงผู้คนที่กำลังมุงล้อมด้วยความขยะแขยงและเสียงด่าทอ เขาไม่แน่ใจว่าเห็นแม่ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้แทบขาดสติอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า


ยามบ่ายแก่ของอีกวันถัดมา ณ บ้านหลังมหึมาทรงยุโรป
ผู้ประกาศข่าวกระชับใจความได้ว่า – สองลูกน้องเสี่ยอู๋ถูกยิงตายสยองคาถนน จับตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว ตำรวจสรุปเบื้องต้นว่าเป็นเรื่องธุรกิจขัดแย้ง

“ผมนึกแล้วว่าตำรวจต้องสรุปกันแบบนี้” ชายหนุ่มร่างสูงโยนประโยคขึ้นก่อน เขาละสายตาจากจอโทรทัศน์

“น่ากลัวจัง คนเราไม่น่าจะฆ่ากันง่ายๆนะคะ”หญิงสาวอายุสามสิบต้นๆพูดเสริม เธอเอนหลังพิงโซฟา

ทั้งคู่นั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงริมระเบียงบ้าน มีทั้งสนามหญ้าแสดงความโอ่อ่าและรั้วกว้างขวางแสดงอาณาเขต รถสปอร์ตสีแดงสดคันหรู ป้ายทะเบียน กก-๙๙๙ จอดอยู่ในโรงรถ

แก้วน้ำส้มคั้นวางบนโต๊ะเคียงข้างขวดเบียร์ของชายหนุ่มร่างสูงคู่หมั่นของเธอที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก เขากำลังตื่นเต้นกับข่าวฆาตกรรมละแวกใกล้บ้านจากช่องเคเบิ้ลท้องถิ่น

“เห็นว่าแกกำลังสนใจธุรกิจใหม่ คนแถวนี้เขาพูดกันว่าเสี่ยอู๋ส่งลูกน้องสองสามคนออกสำรวจปั๊มน้ำมันต่างๆแถวนี้ เผื่อจะทำสัญญาเทคโอเวอร์ ช่วงนี้น้ำมันแพง เจ้าของปั๊มบางรายอาจถอดใจปิดขายกิจการ ผมว่าก็ไม่เห็นจะน่าผิดใจกับใครที่ไหนจนต้องฆ่าแกงกัน”
เขาบอกข้อมูลที่รู้มาบวกกับความคิดเห็นของตัวเอง

“นั่นนะซิค่ะ จะว่าไปเสี่ยเขาก็เป็นคนดี ทำเฉพาะงานสุจริต เป็นที่เคารพนับถือกันโดยทั่วไป ใครที่ไหนจะมามีปัญหาด้วย แต่ก็อย่างว่า เรื่องของธุรกิจ ใครจะไปรู้” เธอถอนใจ หันมาจิบน้ำส้มในแก้ว มันเย็นจัดและชื่นใจ

ในฉับพลันนั้น เธอรู้สึกสบายอารมณ์นึกอยากชวนคู่หมั่นนั่งรถสปอร์ตคันหรูไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งอาจเป็นทะเล หรือภูเขา

----------------------------------------------------------------------

“สุกิตถนัดมือขวา ส่วนสุดาถนัดมือซ้าย”

สุกิตถนัดมือขวา ส่วนสุดาถนัดมือซ้าย
เมื่อคราวประถมและมัธยม สุดาคิดว่าเธอแปลกประหลาด ขณะยกมือเลือกหัวหน้าห้อง เธอจะดูแปลกแยกจากเพื่อน เพราะคนอื่นๆยกมือขวา ในขณะที่เธอชูมือซ้าย


วันหนึ่ง ครูถามว่า ในบทเรียนนี้ใครไม่เข้าใจบ้าง สุดายกมือ และเธอรู้สึกแปลกแยก ไม่ใช่แปลกแยกที่เธอยกมือซ้าย แต่แปลกแยกที่เธอยกมืออยู่คนเดียว

สิ่งนี้ตอกย้ำความมั่นใจในความรู้สึกโดดเดี่ยว
เธอเชื่อว่าเพื่อนที่นั่งข้างๆอย่างน้อยสองคนต้องไม่เข้าใจในบทเรียนนี้เหมือนเธอ แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาไม่ยอมยกมือ


สุดาเคยเก็บกระเป๋าตังค์ได้ในเขตโรงเรียน หลังเลิกเรียนเธอปั่นจักรยานนำไปมอบให้ตำรวจที่โรงพัก เช้าวันรุ่งขึ้นสุดาถูกครูตี เพราะไม่ยอมมอบให้ครูเพื่อหาเจ้าของ


เธอแบมือซ้ายรับหวาย อดทน
และให้เหตุผลว่า กระเป๋าตังค์ที่เก็บได้อาจจะไม่ใช่ของคนในโรงเรียน ถ้าให้ครูประกาศหาเจ้าของในโรงเรียน เจ้าของกระเป๋าอาจไม่ได้ยิน

ครูกล่าวหาว่าเธอพูดจากวนโมโห
สุดาถูกเพื่อนๆเข้าใจผิด และไม่มีใครคุยกับสุดาเกือบสามวัน

---------------------------------------------------------------------

สุกิต ภูมิใจ เพราะสมัยเด็กเป็นที่รักของเพื่อนๆ เขาชอบซื้อขนมแจกทุกๆคน

สุกิตยกมือขวาเหมือนทุกๆคน แต่โดยส่วนใหญ่สุกิตมักจะยกตามเพื่อน เขาจะไม่ทำอะไรที่เพื่อนไม่ทำ

เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าชอบการ์ตูนเรื่อง โดราเอมอน สุกิตก็บอกว่าชอบด้วย ทั้งที่ความจริงเขาอาจจะชอบหนูน้อยอาราเล่มากกว่า

เขาเคยแข่งปิงปองชนะ เพราะครูที่เป็นกรรมการชอบเขาเป็นพิเศษ เขาชอบช่วยครูถือของ และเชื่อฟังครูทุกคำพูด และท้ายที่สุด วิชาพละสุกิตได้เกรดสี่

สุกิตชอบเล่นกีฬาเกือบทุกชนิดที่มีให้เล่นในโรงเรียน เป็นสิ่งเดียวที่พอจะแตกต่างจากเพื่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาเล่นเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของครูและเพื่อนๆ โตขึ้นเขาอยากเป็นนักปิงปอง

-----------------------------------------------------------------------------

เที่ยงแล้ว แม่เรียกเด็กๆกินข้าว สุกิตถึงโต๊ะอาหารก่อนใคร

สุดา ยังคงระบายสีใบไม้ใบสุดท้ายให้เสร็จก่อน เก็บจานสี ล้างภู่กัน แล้วจึงเดินเข้าสู่ห้องครัว

เธอนั่งกินเงียบๆ ขณะที่สุกิตถามถึงไข่ยัดไส้ ที่แม่สัญญาว่าจะทำให้กิน เขาโวยวายลุกออกจากโต๊ะเมื่อแม่บอกว่าลืม

สุดากินอาหารที่มีอยู่จนหมด ลุกเดินไปล้างจานเงียบๆ แม่บอกว่าจะล้างเอง เธอบอกไม่เป็นไร แม่จึงดึงจานจากมือเธอไปล้าง

พ่อไม่อยู่ สุดาและสุกิตเคยเห็นพ่อตอนพวกเขายังเล็ก และลืมไปแล้วว่าพ่อจากไปตอนไหน

วันเวลาดำเนินไปอย่างรวดเร็ว สุกิตเรียนจบมหา’ลัย ทำงานเป็นวิศวกรในโรงงาน สุดาเรียนจบช้าไปสองปี และไม่สมัครงาน เธอเขียนหนังสือและวาดรูป แม่โกรธเธอมาก และไม่พูดด้วย

สุกิตกลับมาหาแม่บ่อยๆในช่วงวันหยุด แม่ทำไข่ยัดไส้ให้เขากิน เขาตักกินแค่ไม่กี่คำเป็นมารยาท พร้อมถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ สุดาไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมเพราะเธอต้องใช้สมาธิและอารมณ์ต่อเนื่องในการเขียนหนังสือ นานๆจะกลับมาสักครั้ง และกินไข่ยัดไส้จนเกลี้ยงจาน แม่เริ่มพูดกับเธอ แต่พูดน้อยคำ


หลายปีแล้ว แม่เริ่มแก่ สุกิตงานหนัก กลับบ้านน้อยลง สุดายังเหมือนเดิม เธอเชื่อว่าสักวันเมื่อแม่จากไป แม่ต้องมีความสุขที่ได้เห็นเธอทำในสิ่งที่ชอบ แต่แม่อาจจะมองดูสุกิตอยู่บนสวรรค์ด้วยความเป็นห่วง เพราะสุกิตอาจจะไม่มีความสุข เขาไม่ได้อยากเป็นวิศวกร เขาอยากเป็นนักกีฬาต่างหาก

และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง น้าโทรมาบอกทั้งคู่ว่า แม่เสียแล้ว สุกิตร้องไห้ ส่วนสุดานิ่งเงียบเมื่อรู้ข่าว

วันเผาศพส่งวิญญาณสู่สรวงสวรรค์ สุกิตต้องรีบกลับกรุงเทพฯก่อน เขามีงานเร่งด่วน ต่อด้วยงานเลี้ยงรุ่นมหา’ลัย ซึ่งเขาเป็นประธานรุ่น คืนวันก่อนในงานศพ มือขวาของเขาวุ่นอยู่กับโทรศัพท์

สุดา ยืนมองควันสุดท้ายลอยออกจากปล่องไฟของเมรุ เธอยืนนิ่งยกมือซ้ายขึ้นปาดน้ำตาซึ่งเธอไม่สามารถกลั้นได้แล้ว เธอยิ้ม – ขอให้แม่มีความสุขนะคะ สบายใจได้ เพราะตอนนี้หนูได้เป็นนักเขียนอย่างที่ชอบแล้ว -

วันถัดมา สุดาเก็บเถ้าผงกระดูกของแม่ ขณะที่สุกิตตื่นขึ้นมากลางเมืองใหญ่พร้อมอาการปวดหัวเพราะเมื่อคืนดื่มหนัก และยังต้องปวดหัวเรื่องการประชุมประจำปีของบริษัทที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้ บรรยากาศที่มีแต่คนเถียงกันในเรื่องที่ตนคิดว่าถูก เพื่ออะไร เพื่ออำนาจ และเงิน

สุกิตอาบน้ำ แต่งตัว - แม่ไม่ต้องห่วงผมนะครับ การงานผมเริ่มมั่นคง อีกไม่นานผมก็จะแต่งงาน หลับให้สบายนะครับ - เขาผูกเนคไทที่คอ เตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อไปเป็นวิศวกร

สุกิตลืมไปแล้วว่าปิงปองเล่นยังไง....