วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

“สุกิตถนัดมือขวา ส่วนสุดาถนัดมือซ้าย”

สุกิตถนัดมือขวา ส่วนสุดาถนัดมือซ้าย
เมื่อคราวประถมและมัธยม สุดาคิดว่าเธอแปลกประหลาด ขณะยกมือเลือกหัวหน้าห้อง เธอจะดูแปลกแยกจากเพื่อน เพราะคนอื่นๆยกมือขวา ในขณะที่เธอชูมือซ้าย


วันหนึ่ง ครูถามว่า ในบทเรียนนี้ใครไม่เข้าใจบ้าง สุดายกมือ และเธอรู้สึกแปลกแยก ไม่ใช่แปลกแยกที่เธอยกมือซ้าย แต่แปลกแยกที่เธอยกมืออยู่คนเดียว

สิ่งนี้ตอกย้ำความมั่นใจในความรู้สึกโดดเดี่ยว
เธอเชื่อว่าเพื่อนที่นั่งข้างๆอย่างน้อยสองคนต้องไม่เข้าใจในบทเรียนนี้เหมือนเธอ แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาไม่ยอมยกมือ


สุดาเคยเก็บกระเป๋าตังค์ได้ในเขตโรงเรียน หลังเลิกเรียนเธอปั่นจักรยานนำไปมอบให้ตำรวจที่โรงพัก เช้าวันรุ่งขึ้นสุดาถูกครูตี เพราะไม่ยอมมอบให้ครูเพื่อหาเจ้าของ


เธอแบมือซ้ายรับหวาย อดทน
และให้เหตุผลว่า กระเป๋าตังค์ที่เก็บได้อาจจะไม่ใช่ของคนในโรงเรียน ถ้าให้ครูประกาศหาเจ้าของในโรงเรียน เจ้าของกระเป๋าอาจไม่ได้ยิน

ครูกล่าวหาว่าเธอพูดจากวนโมโห
สุดาถูกเพื่อนๆเข้าใจผิด และไม่มีใครคุยกับสุดาเกือบสามวัน

---------------------------------------------------------------------

สุกิต ภูมิใจ เพราะสมัยเด็กเป็นที่รักของเพื่อนๆ เขาชอบซื้อขนมแจกทุกๆคน

สุกิตยกมือขวาเหมือนทุกๆคน แต่โดยส่วนใหญ่สุกิตมักจะยกตามเพื่อน เขาจะไม่ทำอะไรที่เพื่อนไม่ทำ

เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าชอบการ์ตูนเรื่อง โดราเอมอน สุกิตก็บอกว่าชอบด้วย ทั้งที่ความจริงเขาอาจจะชอบหนูน้อยอาราเล่มากกว่า

เขาเคยแข่งปิงปองชนะ เพราะครูที่เป็นกรรมการชอบเขาเป็นพิเศษ เขาชอบช่วยครูถือของ และเชื่อฟังครูทุกคำพูด และท้ายที่สุด วิชาพละสุกิตได้เกรดสี่

สุกิตชอบเล่นกีฬาเกือบทุกชนิดที่มีให้เล่นในโรงเรียน เป็นสิ่งเดียวที่พอจะแตกต่างจากเพื่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาเล่นเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของครูและเพื่อนๆ โตขึ้นเขาอยากเป็นนักปิงปอง

-----------------------------------------------------------------------------

เที่ยงแล้ว แม่เรียกเด็กๆกินข้าว สุกิตถึงโต๊ะอาหารก่อนใคร

สุดา ยังคงระบายสีใบไม้ใบสุดท้ายให้เสร็จก่อน เก็บจานสี ล้างภู่กัน แล้วจึงเดินเข้าสู่ห้องครัว

เธอนั่งกินเงียบๆ ขณะที่สุกิตถามถึงไข่ยัดไส้ ที่แม่สัญญาว่าจะทำให้กิน เขาโวยวายลุกออกจากโต๊ะเมื่อแม่บอกว่าลืม

สุดากินอาหารที่มีอยู่จนหมด ลุกเดินไปล้างจานเงียบๆ แม่บอกว่าจะล้างเอง เธอบอกไม่เป็นไร แม่จึงดึงจานจากมือเธอไปล้าง

พ่อไม่อยู่ สุดาและสุกิตเคยเห็นพ่อตอนพวกเขายังเล็ก และลืมไปแล้วว่าพ่อจากไปตอนไหน

วันเวลาดำเนินไปอย่างรวดเร็ว สุกิตเรียนจบมหา’ลัย ทำงานเป็นวิศวกรในโรงงาน สุดาเรียนจบช้าไปสองปี และไม่สมัครงาน เธอเขียนหนังสือและวาดรูป แม่โกรธเธอมาก และไม่พูดด้วย

สุกิตกลับมาหาแม่บ่อยๆในช่วงวันหยุด แม่ทำไข่ยัดไส้ให้เขากิน เขาตักกินแค่ไม่กี่คำเป็นมารยาท พร้อมถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ สุดาไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมเพราะเธอต้องใช้สมาธิและอารมณ์ต่อเนื่องในการเขียนหนังสือ นานๆจะกลับมาสักครั้ง และกินไข่ยัดไส้จนเกลี้ยงจาน แม่เริ่มพูดกับเธอ แต่พูดน้อยคำ


หลายปีแล้ว แม่เริ่มแก่ สุกิตงานหนัก กลับบ้านน้อยลง สุดายังเหมือนเดิม เธอเชื่อว่าสักวันเมื่อแม่จากไป แม่ต้องมีความสุขที่ได้เห็นเธอทำในสิ่งที่ชอบ แต่แม่อาจจะมองดูสุกิตอยู่บนสวรรค์ด้วยความเป็นห่วง เพราะสุกิตอาจจะไม่มีความสุข เขาไม่ได้อยากเป็นวิศวกร เขาอยากเป็นนักกีฬาต่างหาก

และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง น้าโทรมาบอกทั้งคู่ว่า แม่เสียแล้ว สุกิตร้องไห้ ส่วนสุดานิ่งเงียบเมื่อรู้ข่าว

วันเผาศพส่งวิญญาณสู่สรวงสวรรค์ สุกิตต้องรีบกลับกรุงเทพฯก่อน เขามีงานเร่งด่วน ต่อด้วยงานเลี้ยงรุ่นมหา’ลัย ซึ่งเขาเป็นประธานรุ่น คืนวันก่อนในงานศพ มือขวาของเขาวุ่นอยู่กับโทรศัพท์

สุดา ยืนมองควันสุดท้ายลอยออกจากปล่องไฟของเมรุ เธอยืนนิ่งยกมือซ้ายขึ้นปาดน้ำตาซึ่งเธอไม่สามารถกลั้นได้แล้ว เธอยิ้ม – ขอให้แม่มีความสุขนะคะ สบายใจได้ เพราะตอนนี้หนูได้เป็นนักเขียนอย่างที่ชอบแล้ว -

วันถัดมา สุดาเก็บเถ้าผงกระดูกของแม่ ขณะที่สุกิตตื่นขึ้นมากลางเมืองใหญ่พร้อมอาการปวดหัวเพราะเมื่อคืนดื่มหนัก และยังต้องปวดหัวเรื่องการประชุมประจำปีของบริษัทที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้ บรรยากาศที่มีแต่คนเถียงกันในเรื่องที่ตนคิดว่าถูก เพื่ออะไร เพื่ออำนาจ และเงิน

สุกิตอาบน้ำ แต่งตัว - แม่ไม่ต้องห่วงผมนะครับ การงานผมเริ่มมั่นคง อีกไม่นานผมก็จะแต่งงาน หลับให้สบายนะครับ - เขาผูกเนคไทที่คอ เตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อไปเป็นวิศวกร

สุกิตลืมไปแล้วว่าปิงปองเล่นยังไง....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น