วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กนก - สาวิณี

แสงสว่างวาบเล็กๆปรากฏขึ้นเบื้องใบหน้าเมื่อชายหนุ่มจุดไม้ขีดไฟ และจ่อดวงไฟนั้นตรงปลายมวนบุหรี่ เขากลืนกลุ่มก้อนควันแรกลงคอก่อนละเลียดออกมาอย่างผ่อนคลาย ยกข้อมือขึ้นสำรวจเวลา ขยับแจ็คเก็ตให้กระชับอุ่น ชำเรืองสายตาไปยังถนน

สายลมเอื่อยเย็นพัดผ่านช่องระหว่างมุมตึกให้รู้สึกหนาวสะท้าน

ตึกอาคารในละแวกนี้ออกแบบไว้อย่างสวยงาม มีทั้งความร่วมสมัย ความทันสมัยและความเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นผสมปนเปกันไปตามแต่รสนิยมของผู้อาศัย ทอดยาวไปด้วยร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน และร้านขายงานศิลปะ

การสัญจรบนถนนบางตาลงทุกขณะ ความมืดคืบคลานขยายตัวเมื่อร้านรวงต่างๆเริ่มปิดไฟหน้าร้านเก็บข้าวของเข้าด้านใน และเริ่มเลื่อนบานประตูเหล็กม้วนลงเสียงดังกราวเป็นระยะ ชายหนุ่มยิ่งร้อนรนและสังเกตมองถนนบ่อยขึ้น

กนก สูบบุหรี่จนติดก้นมวนก่อนโยนทิ้งลงพื้นพร้อมกับที่พนักงานร้านกาแฟด้านข้างล็อคกุญแจและเดินจากไปในความมืด

สี่ทุ่มตรง กนกสูบบุหรี่ไปแล้วห้ามวน และกำลังเริ่มมวนที่หก

กนกมีผิวคล้ำ ผมยุ่งกระเซิงหนา ผอมแห้งและสูงพอที่จะทอดเงาได้ยืดยาว

เขายืนครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆนานา เหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาในหัวหลายภาพ ชายหนุ่มพยายามนึกปล่อยวางและชินชา

ทุกสิ่งเหมือนเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ทุกสิ่งก็เหมือนไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

แสงไฟสีส้มของหน้ารถคันหนึ่งสาดเข้ามายังกำแพงตึกปลุกให้กนกตื่นจากภวังค์ รถเก๋งสีเทาคุ้นตาเลี้ยวเข้าซอยมาอย่างเร่งรีบ กนกกระเถิบตัวหลบออกด้านข้างพร้อมกับที่รถคันนั้นจอดตรงหน้าเขาพอดี บานกระจกฝั่งคนขับเลื่อนลงช้าๆ แลเห็นสาวสวยนั่งอยู่ด้านใน หล่อนแต่งหน้าเข้มจัด กลิ่นน้ำหอมฉุนปะปนอยู่ในอากาศ

“รอนานมั๊ยจ๊ะกนก ?” หญิงสาวส่งสายตาออดอ้อนในเชิงขอโทษ “ขึ้นมาซิ บุหรี่น่ะทิ้งซะนะ ฉันไม่อยากให้กลิ่นมันติดรถ”

กนกอยากตอบว่าเขารอนาน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาทิ้งบุหรี่ลงพื้น เดินอ้อมตัวรถ เปิดประตูและนั่งข้างหล่อน

“ให้ผมขับมั๊ย?” กนกพยักเพยิดหน้าไปทางพวงมาลัย

“แปลกคน...จะถามทำไม คุณรู้คำตอบอยู่แล้ว” หญิงสาวจบประโยคก่อนเหยียบคันเร่งพาตัวเองและชายหนุ่มเคลื่อนตัวออกสู่ถนนเส้นหลัก ระหว่างทางกนกแอบมองดูใบหน้าหล่อนอยู่บ่อยๆ เขามั่นใจว่าหล่อนรู้ตัว แต่หล่อนแกล้งทำเป็นไม่สน

สาวิณี – หญิงสาวผู้มีความมั่นใจในตัวเองสูงเคลือบอยู่กับความขี้อายในบางขณะ สาวิณีมีแรงดึงดูดรุนแรงต่อเพศตรงข้ามเสมอ หล่อนไว้ผมตรงยาวถึงกลางหลัง ริมฝีปากเรียวเล็ก นัยน์ตาหวาน ผิวนวลสะอาด ความสูงทันแค่ติ่งหูของกนก หุ่นสวยบางเบา และเอวคอด

“นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะจ๊ะกนก ห้าหรือหก” กังวานหวานแหววของสาวิณีดังแทรกเข้ามาในจินตนาการของกนก หล่อนตีสีหน้าขมวดคิดอย่างมีจริต

เสียงวิทยุหรี่เบาจนแทบไม่ได้ยิน

“ไม่รู้ ผมไม่ได้จำ” กนกพูดปด “ถามทำไม?”

“ดูท่าวันนี้คุณไม่ได้ดื่มมา” สาวิณีเบี่ยงเบนไม่ตอบคำถาม หล่อนเอื้อมมืออ่อนช้อยผายออกสัมผัสต้นขาของกนกอย่างนุ่มนวลพลางลูบไล้ไปมาเบาๆ อีกมือหนึ่งกำพวงมาลัยแนบแน่น

“หนล่าสุด คุณเมามากเลยนะ” หล่อนว่า

กนกขบริมฝีปาก เขารู้สึกขมคอเมื่อนึกถึงเบียร์เย็นๆสักแก้ว แต่ก็รู้สึกเสียวซ่านตรงหว่างขามากกว่า

“ผมก็เมาของผมทุกวัน อืม.. ยกเว้นวันนี้”
“ตายจริง.... สงสัยฝนจะตก”

“ผมไม่เมาแล้วมันแปลกอะไรหนักหนา”
“คุณน่ารักเวลาเมา..” หญิงสาวติดปลายเสียงเล้าโลม “และยิ่งน่ารัก เวลาที่คุณหงุดหงิด”

กนกรู้สึกเขินอายจนไม่กล้าพูดอะไรต่อ เขานึกหมั่นไส้หล่อนพร้อมกับที่นึกอยากกอดรัดฟัดเหวี่ยงหล่อนซะประเดี๋ยวนี้

รถเก๋งพาทั้งคู่แล่นสู่ความมืดบ้าง ความสว่างบ้าง แล้วแต่ว่าเป็นซอกซอย หรือเป็นถนนใหญ่ ฤดูหนาวปีนี้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ยกเว้นช่วงกลางคืนซึ่งมักจะหนาวเย็นเสมอ อุณหภูมิภายในรถคงไม่ต่างจากด้านนอกมากนัก กนกเร่งเวลาอยากให้ถึงโรงแรมเร็วๆ เขาจะได้สวมสัมผัสไออุ่นจากสาวิณีเสียที และจะดีกว่านั้นหากได้นอนกอดหล่อนตลอดทั้งคืน

“จอดตรงนั้นที” กนกชี้นิ้ววุ่นวายขณะผ่านมินิมาร์ท “ผมจะลงไปซื้อเบียร์”
“ไม่เอา...” สาวิณีออดอ้อน “ฉันอยากกอดคุณแล้ว เราน่าจะลองกันแบบที่คุณไม่เมาบ้างก็ดีนะ ว่ามั๊ย”

ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรงเมื่อได้ยินดังนั้น เริ่มไม่แน่ใจว่ายังอยากกินเบียร์อยู่หรืออยากโอบกระชับเรือนร่างของหล่อนกันแน่ เขารู้สึกเสียววูบวาบตรงท้องน้อย

“อย่างนั้นคุณก็ขับเร็วหน่อย จริงๆไม่อยากบอกนะ ว่าผมรอคุณนานมาก นานจนหมดความอยาก นานจนผมเริ่มหงุดหงิด” กนกเหน็บอารมณ์ตัดพ้อในซุ่มเสียง เขารู้สึกงี่เง่าและเหมือนกับตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

“น่ารัก.....” สาวิณีเอ่ยเบาๆ หล่อนเหยียดปลายเท้าเร่งกระชากความเร็ว

กนกรู้สึกวาบหวิวกับการเคลื่อนตัวไปบนถนนด้วยความเร็วเช่นนี้



------------------------------------------------------------------------


รถเก๋งสีเทาเลี้ยวเข้าซอยเปลี่ยวแถบชานเมือง ซึ่งปลายทางมีโรงแรมรออยู่ ถนนเป็นดินและขรุขระ บางช่วงถึงขนาดเป็นแอ่ง ดวงจันทร์ทอดแสงนวลอวบอิ่มฉาบทิวทัศน์ให้มองดูสบายตา ทุ่งโล่งข้างทางกว้างใหญ่ตอบรับแสงจันทร์ด้วยการอวดโฉมใบหญ้าพริ้วไหวเป็นคลื่นชั้นลดหลั่นกันไป ชวนให้ภายในจิตใจของกนกโลดแล่นอย่างเสรี จู่ๆเขานึกอยากเพิ่มความตื่นเต้นให้กับค่ำคืนนี้ ความสมบูรณ์แบบต้องมีวิธีการในแบบของมัน

“จอดก่อน ผมมีเรื่องจะบอก” กนกยกฝ่ามือแบออกในลักษณะห้าม จังหวะที่รถผ่านถึงกลางซอย

“คะ?”

“จอดซิ จอด ตรงนั้นไง” กนกชี้ไปข้างทาง

สาวิณียิ้มอย่างมีเลศนัย แต่หล่อนก็เหยียบเบรคเทียบจอดตรงตำแหน่งที่กนกบอก

“ไม่เอานะ ฉันไม่ชอบทำบนรถ”

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วยจริงๆ” กนกทำท่าเคร่งขรึม

“ไม่ต้องเลย” สาวิณีทุบหน้าอกชายหนุ่มเบาๆด้วยกำปั้น พอดีกับที่ชายหนุ่มรีบปาดยกมือซ้ายกดทับมือของหล่อนกุมไว้แนบแน่นเหนือหน้าอกของเขาอย่างทันท่วงที ก่อนใช้ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งโอบลูบเส้นผมของสาวิณีไล่ลงจนถึงต้นคอ

“สาวิณี... ผมอดไม่ได้ที่จะไม่คิดถึงคุณ ไม่เคยเลยสักคืน...”

.....สาวิณีแน่นิ่ง นัยน์ตาเบิกกว้าง ผมดำขลับของหล่อนส่ายไปมาช้าๆ ใจหนึ่งไม่นึกเชื่อ แต่อีกใจหนึ่งกลับตื้นตัน หล่อนไม่ได้ยินชายใดเอ่ยวาจาสุภาพแบบนี้มาแสนนาน หัวใจของหล่อนนั้นชินชาเสียแล้ว มันอาจชินชาเสียจนต้องปักใจเชื่อว่า ในโลกนี้คงไม่มีชายใดจะมอบความรักให้หล่อนได้

กนกฝากตัวเป็นลูกค้าประจำของหล่อนมาหลายเดือนแล้ว สาวิณีคิดเพียงว่าการบำเรอร่างของหล่อนคงมีค่าเพียงธนบัตรไม่กี่ใบ แต่นาทีนี้สาวิณีรู้สึกว่าหล่อนมีค่ามากกว่านั้น มันทำให้หล่อนแทบอยากหัวเราะออกมาดังๆ ยิ้มเยาะให้กับชีวิตตัวเอง หรือแม้กระทั้งอยากตะโกนระบายความขับข้องใจอะไรบางอย่าง ตะโกนออกไป แม้จะไม่มีใครได้รับฟัง

“กนก..” สาวิณีพูดอย่างตีบตันและอ่อนแรง หล่อนถอนหายใจสั่นไหว “มันเป็นไปได้เหรอคะ”

ชายหนุ่มใช้ทั้งสองมือโอบศีรษะของสาวิณีเข้าสวมกอด
“ผมเหงามาก เหงามาตลอด คุณก็รู้ บางทีผมอาจเหงาเกินไป แต่รู้มั๊ย ผมคิดถึงคุณเสมอเวลาตื่นในตอนเช้า รวมถึงตอนที่ผมกินข้าว หรือแม้ขณะที่หัวผมถึงหมอนในกลางดึก”

“คุณพูดจาแบบนี้ก็เป็น” สาวิณีกระซิบในอ้อมกอด “ฉันคิดว่าคุณเป็นคนแข็งทื่อ ไร้อารมณ์เสียอีก”

“ผมอ้างว้างต่างหาก” กนกว่า “มันเงียบมากเวลาผมอยู่คนเดียว ผมอ่านหนังสือ ผมดูหนัง หรือไม่ก็ฟังเพลงไปตามเรื่องตามราว”

“เราจะอยู่ด้วยกันได้จริงๆหรือ” สาวิณีเร่งถามราวกับว่าหล่อนไม่ได้ฟังที่ชายหนุ่มพูดเมื่อครู่

กนกเบนสายตาออกไปนอกรถ บนทุ่งโล่งกว้างนั้น ใบหญ้าพัดไหวอยู่ในความสลัวและลึกลับ

“ทำไมจะไม่ได้” เขาตอบ

สาวิณีขมวดคิ้ว
“งานที่ฉันทำมัน....”

กนกจุ๊ปากห้ามไม่ให้หล่อนพูดต่อ
“ผมไม่แคร์ เพียงแต่คุณต้องหยุดทำเสียก่อน”

สาวิณีนิ่งไปอีกครั้ง หล่อนรู้สึกว่าเริ่มเผลอตัวเพ้อฝันจนเกินไป เพราะในความเป็นจริงนั้น มีเหตุผลร้อยอย่างพันอย่างที่ทำให้หล่อนต้องทนทำงานบำเรอตนแบบนี้ หล่อนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำทุกอย่าง ซึ่งแน่นอน รวมถึงตัวหล่อนด้วย

ที่สำคัญหล่อนจะแน่ใจได้หรือ ว่าคำพูดที่หล่นจากปากชายหนุ่มที่หล่อนเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เป็นความรู้สึกจริงๆที่มาจากหัวใจหรือเป็นเพียงลมปากเพื่อปลอบโยนหรือเพื่อเอาอกเอาใจเท่านั้น

เงิน – ใช่ เงินนั้นสำคัญ สาวิณีเห็นว่าเงินนั้นสำคัญยิ่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่หล่อนบูชามันอย่างโง่งม

เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า สวยงามก็จริง แต่หล่อนไม่ได้ซื้อใช้อย่างฟุ่มเฟือยเสียหน่อย แม้จะต้องซื้อไอ้อย่างที่มียี่ห้อที่เขานิยมกันอยู่บ้าง นั่นก็เพราะความจำเป็น ผู้ชายทั้งหลายนี่แหละ ! เป็นเรื่องจริงที่ผู้ชายหลายคนมักแอบเพ่งเครื่องแต่งกายหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยการมองหาป้ายยี่ห้อเพื่อเพียงให้มันดูเหมาะสมกับตัวเขาบ้างเท่านั้นเอง สาวิณีจำเป็นต้องสร้างภาพขึ้นมาให้หล่อนดูดี สมกับที่ต้องไปทานข้าวหรือเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้ากับลูกค้าระดับที่เรียกกันว่าเสี่ย รถที่หล่อนใช้อยู่ก็จำเป็นต้องซื้อต้องผ่อนเพราะมันมีสเน่ห์กว่าแน่ถ้าหล่อนมีรถขับ หล่อนถือเป็นการลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า

ผู้หญิงอายุยี่สิบอย่างสาวิณีจะทำอย่างไรได้เล่า หากต้องหาเงินเดือนละหลายหมื่นเพื่อช่วยพ่อใช้หนี้ หนี้ที่เกิดจากแม่ที่ไม่เอาไหน สาวิณีคิดไม่ออกจริงๆ เป็นพนักงานเสริฟอย่างนั้นหรือ พนักงานร้านกาแฟอย่างนั้นเหรือ เดือนละสี่ห้าพันก็ใช้ได้แค่กินแค่อยู่ การศึกษาหล่อนก็สิ้นสุดอยู่เพียงมัธยมปลาย จะให้ทำอะไรได้มากไปกว่านี้

บางคนว่าเหตุผลทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้าง แต่สาวิณีก็รู้ดีแก่ใจเสมอว่าหล่อนเป็นใคร ลำพังหากหล่อนตัวคนเดียว หรือพ่อของหล่อนไม่ได้มีหนี้ท่วมหัวอย่างนี้ หล่อนจะทำอะไรก็ได้ เดินขายสร้อย ขายกำไรข้อมือ รับจ้างดูแลเด็ก หรือรับจ้างทำความสะอาดบ้านก็ได้ หรือเอาที่สะดวกก็พนักงานเสริฟนี่แหละ แต่ในเมื่อบิลทวงหนี้จากธนาคารของทุกๆเดือนมันระบุจำนวนเงินเป็นหมื่นๆและกำหนดเวลาที่ต้องจ่ายค้ำคออยู่แล้วนั้น จะให้หล่อนทำอย่างไร งวดไหนค้างจ่ายก็ถูกขู่จะยึดบ้าน หลายครั้งที่สาวิณีปรึกษากับพ่อเรื่องหลบหนี แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะหนีไปที่ใด หมู่ญาติก็มีแต่จะซ้ำเติม เรื่องทั้งหมดก็เพราะแม่คนเดียว

สาวิณีเห็นแม่ติดเหล้าและเข้าบ่อนตั้งแต่หล่อนจำความได้ แม่สร้างแต่หนี้ให้พ่อที่ทำงานอย่างสุจริต จริงๆงานของพ่อก็ไม่ได้ต้อยต่ำอะไร พ่อเป็นถึงครูอาจารย์ที่สอนในโรงเรียนมัธยม แต่หนี้ที่แม่สร้างขึ้นมานั้นมันมากกว่าเงินเดือนพ่อหลายเท่า สาวิณีไม่เคยรู้ว่าทำไมแม่ถึงเปลี่ยนไป พ่อก็ไม่เคยบอกเล่าถึงเหตุผลให้ฟังเสียที บอกเพียงว่าพ่อรักแม่ พ่อจึงเข้าใจแม่ สาวิณีพยักหน้าฟังอย่างไม่มีทางเข้าใจ หล่อนเกิดมาก็เห็นแม่เป็นอย่างที่ไม่เหมือนแม่คนอื่นเป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ความโกรธแค้นน้อยเนื้อต่ำใจที่สาวิณีมีต่อแม่ก็เห็นทีจะไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย จะวุ่นวายเอาความอะไรกับใครได้อีก ในเมื่อแม่ของหล่อนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

เรื่องราวส่วนตัวทั้งหมดนี้ สาวิณีไม่เคยร่ายเรียงให้กนกฟัง กนกอาจคิดเพียงว่าหล่อนจำเป็นต้องหาเงิน หล่อนเป็นผู้หญิงบ้านแตกที่นึกสนุกไปวันๆ หรืออาจคิดว่าหล่อนเพียงหาเงินเพื่อใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเท่านั้น

“สาวิณี” กนกเอ่ยชื่อหล่อนอย่างอ่อนโยน ท่ามกลางความเงียบของหัวใจ หญิงสาวยังคงซุกใบหน้าอยู่ในอกของชายหนุ่ม หล่อนแอบเช็ดน้ำตาโดยที่เขาไม่รู้ตัวก่อนผละร่างอันอ่อนระทวยของตัวเองแยกออกจากอ้อมกอด

“กนกคะ” หล่อนสอดดวงตาประสานใบหน้าของกนกตรงๆ และทิ้งช่วงให้เขาได้มองเห็นรอยเว้าวอนในใจหล่อน “คุณต้องการอะไรจากตัวฉันหรือ?”

“คุณหมายความว่าไง” ชายหนุ่มประหม่ากับแววตาค้นหาคำตอบของหญิงสาว เขาถามใจตัวเองด้วยคำถามเดียวกันว่าแท้จริงแล้ว เขาต้องการอะไรจากหล่อนกันแน่

กนกยอมรับว่าสาวิณีมีใบหน้าและกริยาอันสดสวย สะกดเขาให้หยุดนิ่งได้ในทุกนาที นิสัยหล่อนยิ่งน่ารักไม่มากหรือไม่น้อยไปกว่าเรือนร่าง สาวิณีอาจใช้คำพูดเปลือง แต่ในบางสถานการณ์หล่อนก็รู้จักที่จะไม่พูด หล่อนเป็นคนตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับที่หล่อนรู้จักจริตของผู้หญิงและใช้มันอย่างพองามถูกกาลเทศะ สาวิณีโอบอ้อมอารี ไม่พูดว่าร้ายใครง่ายๆ เว้นแต่จะมีมูลเหตุชัดเจน

จะมีอะไรในตัวผู้ชายวัยอย่างกนก ที่มักให้ความสำคัญในเรื่องความรักกับความใคร่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน กนกให้เหตุผลกับตัวเองว่าธรรมชาติสร้างให้เขาเป็นเช่นนี้ ในคืนที่เปลี่ยวเหงา เขานอนหลับตานึกถึงใบหน้าของสาวิณี การพาดผ่านกายของหล่อนในเชิงกามรสในหลายคราเป็นเหมือนการหยิบยื่นความชื่นฉ่ำบนดินแดนที่น่าอยู่อาศัยตลอดกาลให้แก่เขา ความสับสนเริ่มทวงถามกนกอีกครั้ง – เขารักหล่อนหรือหลงรูปกายหล่อน?

แน่นอนว่ากนกไม่รู้ในคำตอบ ส่วนที่เขาได้พูดออกไปแล้วนั้น เขาพูดเพราะหัวใจเป็นฝ่ายบอกให้พูดต่างหาก ชายหนุ่มทึกทักเปรียบเทียบเอาเองว่าตัวตนกับหัวใจ อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน และกล้าสาบานว่าเขาไม่ได้เอ่ยคำถวิลอาวรณ์โดยมีเจตนาแอบแฝงหรือตั้งใจจะหลอกลวงความรู้สึกของสาวิณี

“ผมอยากอธิบายให้คุณฟังว่าคุณสวยแค่ไหน แต่จะให้ผมพูดเท่าไรก็ไม่หมดหรอก” กนกกล่าวเบาๆ สาวิณีจ้องตาเขาอย่างจับพิรุธ หล่อนจับท่อนแขนของเขาเขย่า

“คุณถามใจตัวเองอีกทีซิว่า ต้องการอะไรจากฉัน”

กนกส่ายหัวช้าๆ เขาเอนหลังพิงเบาะใคร่ครวญ
“ผมโกหกไม่ได้หรอกว่าผมอยากนอนกับคุณในคืนนี้ แต่... คุณลองทายซิว่า ผมวางแผนอะไรไว้ หากเราย้ายไปอยู่ที่อื่น แล้วตั้งต้นชีวิตกันใหม่ ”

“ฉันไม่รู้หรอกค่ะกนก”

“เราจะหาบ้านเช่าถูกๆ” กนกโบกมือไปมาในอากาศ “ผมพอมีเงินเก็บนิดหน่อย แต่งให้สวย.. ใช่ซิ แต่งในแบบที่คุณชอบ แต่ต้องให้ผมมีห้องฟังเพลงห้องนึงนะ คุณอาจจะอยากได้ห้องครัวที่สะดวกสบาย จากนั้น เราจะตระเวนหาทำเลดีๆ หาซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นมาขายกัน อยู่กันสบายๆ เราไม่จำเป็นต้องรวยก็ได้นี่จริงมั๊ย”

สาวิณีนึกถึงหนี้สินและปัญหามากมายที่กนกไม่เคยรู้ หล่อนก้มหน้าลงมองปลายเท้าตัวเองในความมือสลัว เท้าที่พาร่างของหล่อนไปบำเรอผู้ชายหลายประเภท มีทั้งที่น่ารังเกียจ เห็นผู้หญิงเพียงแค่ความสนุกความใคร่ ทั้งที่นิ่งๆเฉยๆไม่รู้ในใจคิดอะไร หรือทั้งที่น่ารัก ให้เกียรติผู้หญิงและเป็นสุภาพบุรุษ ซึ่งกนกก็เป็นแบบนั้น

“คุณหายสงสัยแล้วหรือว่า ทำไมฉันต้องมาทำงานแบบนี้” สาวิณียังไม่เงยหน้าจากปลายเท้า

“คุณเคยบอกผมว่ามันเป็นเหตุผลส่วนตัว ผมก็เลยไม่อยากคะยั้นคะยอ บอกผมมาซิ อาจเป็นเหตุผลที่ดี ผมเชื่อแบบนั้น”

สาวิณีเบือนหน้าออกนอกหน้าต่าง ทุ่งโล่งที่มองดูกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดกลับทำให้หล่อนรู้สึกอึดอัดใจ แม้หล่อนไม่แน่ใจนักกับการจะเล่าเรื่องราวต่างๆให้กนกฟัง แต่หล่อนก็ไม่อยากเก็บมันไว้อีกต่อไป และไม่ว่าท่าทีของกนกจะเปลี่ยนไปในทางใด อย่างน้อยมันก็ดีที่หัวใจอันช้ำระทมของหล่อนจะได้ระบายความผิดเพี้ยนของชีวิตบ้าๆนี้ออกไปได้บ้าง

ทุกเรื่องราวของสาวิณีที่เคยเป็นความลับต่อกนกจึงได้เปิดเผยอย่างหมดสิ้น ชายหนุ่มนั่งฟังด้วยหัวใจอันว่างเปล่า เขาไม่รู้ควรจะคิดหรือไม่คิดอะไรต่อไปดี มันเหมือนเวลาหยุดหมุนชั่วขณะ กระจกรถทั่วทุกด้านขุ่นมัวไปด้วยฝ้าไอน้ำ กนกได้ยินเสียงหายใจของสาวิณีเจือจางอยู่ในความหนาวเหน็บ พอตั้งสติได้ เขาจึงเริ่มทบทวนความจริงเหล่านั้น และยอมรับว่าไม่สามารถช่วยเหลือสาวิณีได้เลยไม่ว่าจะทางใดก็ตาม

มีเพียงคำพูดปลอบโยนเป็นกำลังใจให้หล่อนเท่านั้น กนกเองเป็นพนักงานเงินเดือนของบริษัทเอกชน รายได้ต่อเดือนของเขาน้อยกว่าของสาวิณีอยู่มากโข จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะช่วยเหลืออะไรในเรื่องค่าใช้จ่าย เขาเริ่มคิดแบ่งแยกความรักความใคร่ออกจากชีวิตจริง และสับสนกับการทำหน้าที่ของค่ำคืนนี้ให้ลุล่วง เดิมทีเดียวเขาคิดถึงสาวิณีด้วยความใคร่ อีกหนึ่งหัวใจก็ยังรู้สึกดีกับหล่อนมากเกินที่จะทนไม่สานต่อความสัมพันธ์ไว้ได้ เพียงแต่เขาคิดไตร่ตรองบนพื้นฐานที่ง่ายเกินไป คิดถึงเฉพาะกับความรู้สึกส่วนตัว

การปฏิบัติตัวให้สมหมายในคืนนี้ก็ไม่ได้ลำบากลำบนสักนิด เพียงแค่ไปนอนกับหล่อน และจ่ายเงินตามสัญญาอาชีพ เงินสองพันบาทก็วางรอให้หยิบอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาแล้ว

กนกในตอนนี้ เริ่มมีท่าทีอ่อนไหว เขาเศร้าและเห็นใจสาวิณีด้วยใจจริง ความสับสนทั้งปวงจึงทวีขึ้นตามลำดับ คำหวานซึ้งที่พูดออกไปด้วยความคลุมเคลือของเขาเมื่อครู่ คล้ายว่าจะค่อยๆจับต้องได้จริงๆเสียแล้ว – ความรักคือความเห็นใจอย่างนั้นหรือ? กนกหลับตาค้นหาคำตอบ

“ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มพยักหน้าชวนให้สาวิณีออกรถ



--------------------------------------------------------------------------



ภายในห้องพักของโรงแรมผนังปูนสีขาวขุ่นมัวหมองเป็นหลักฐานสำคัญบอกได้ว่าสถานที่นี้เก่าแก่พอควร ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม และหมอนสีขาวถูกพับปูและวางไว้อย่างเป็นระเบียบ สาวิณีนั่งลงตรงขอบเตียง หล่อนมีสีหน้านิ่งสงบ

กนกเดินตรงไปเปิดเครื่องปรับอากาศรุ่นโบราณส่งเสียงอิดออดงุ่มง่ามตามอายุการใช้งานของมัน เขานั่งลงข้างๆสาวิณีและสวมกอดหล่อนด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากที่เคย

“ผมเอาใจช่วยคุณนะ สาวิณี” กนกลูบปลายผมของหล่อนช้าๆ “ผมรู้สึกดีกับคุณมาก มันเป็นความรู้สึกที่แปลก ผมคงอ่อนแอและเหงาจนเกินไป แต่ก็อย่างว่า ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ บางสถานการณ์อาจทำให้คนสองคนรักกันไม่ได้ แต่เราก็ยังเลือกที่จะรู้สึกดีต่อกันได้ จริงมั๊ยจ๊ะ”

“คุณคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ดีหรือเปล่า.....” สาวิณีสั่นสะอื้น

“ไม่เกี่ยวหรอกนะว่าดีหรือไม่ดี” กนกคลายกระชับกอด เขาเอนตัวนอนลงบนตักของหล่อน “ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันเอง ดูคุณซิ คุณเหนื่อย คุณปวดร้าว และคุณอาจทนทุกข์ แต่จะมีใครกตัญญูเท่าคุณ เพียงแค่นี้มันก็ตอบคำถามในตัวเองได้อยู่แล้วว่าคุณทำทุกอย่างเพื่ออะไร ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยด้วยซ้ำ”

น้ำตาหยดน้อยๆของสาวิณีหยดลงบนแก้มของกนก ชายหนุ่มนึกอยากร้องไห้ออกมาบ้าง ชีวิตเขาก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องเจ็บปวด กนกเหงาและอ้างว้างมานาน เขาอยากมีใครสักคนที่คอยอยู่ข้างๆเสมอ ใครสักคนที่เป็นกำลังใจ แม้ในยามที่เขามีความสุข ในยามที่เขาเห็นความสวยงามของชีวิต เขาทำได้แค่เพียงพูดให้ตัวเองฟังเท่านั้น

เสียงคร่ำครวญของสาวิณีฟังดูหดหู่ หล่อนไม่อายที่จะปล่อยโฮออกมาในบางช่วงอารมณ์ กนกหลับตาลงช้าๆ เขาพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมาเปื้อนใบหน้า แต่ก็เป็นเพราะความอ่อนแออีกเช่นเคยที่ทำให้ใบหน้าของกนกในยามนี้ พร่างพรมไปด้วยหยดน้ำตาของสาวิณีและอาบไปด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์ ความสุข ความรัก ความฝัน ความเศร้า ความปลาบปลื้มและความเจ็บปวดของตัวเขาเอง...


----------------------------------------------------------------------------


กนกลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงขาวสะอาดเพียงลำพัง เสียงเครื่องปรับอากาศโหยหวนอย่างอ่อนแรง บนโต๊ะข้างเตียงมีกระดาษสีขาวเล็กๆพับวางอยู่
กนกเปิดจดหมายนั้นอ่าน...

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
กนก..

ฉันเห็นคุณหลับสบายจึงไม่อยากปลุก คุณนอนอมยิ้มด้วยนะรู้มั๊ย?

กนกจ๊ะ ฉันบอกคุณได้เลยว่าคุณควรจะภูมิใจ ที่คุณเป็นทั้งผู้ชายที่แสนน่ารัก ให้เกียรติผู้หญิงและเป็นสุภาพบุรุษ หวังว่าคุณคงไม่โกรธนะถ้าฉันอยากเตือนคุณด้วยความเป็นห่วงและความหวังดีสักหน่อย กนกจ๊ะ.. ความเหงานั้นมันเป็นแค่อารมณ์ที่คนเราสร้างขึ้นมาเอง ฉันก็เคยเหงาเหมือนอย่างเธอนี่แหละ ความเข้มแข็งต่างหากที่จะทำให้เราข้ามผ่านความเหงาอ้างว้างไปได้

ฉันคิดว่าความเหงาของคุณ เป็นต้นเหตุให้คุณสับสน คุณอยากพบฉันเพราะความเหงา คุณบอกรักฉันเพราะความอ้างว้าง เปล่านะ ! ฉันไม่ได้ดูถูกหรือตัดพ้อในคำบอกรักที่คุณให้แก่ฉัน ฉันรู้ว่าคุณพูดขึ้นมาจากความรู้สึก คุณพูดโดยไม่ได้ตั้งใจจะลวงหลอก แต่ความรู้สึกที่เกิดจากความมั่นคง กับความรู้สึกที่เกิดจากความสับสน มันบอบบางไม่แพ้กันหรอกนะกนก

ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่คุณให้ฉันอย่างบริสุทธิ์ใจและขอบคุณสำหรับความอบอุ่นที่ฉันได้รับจากคุณเมื่อคืนก่อน... บนทางเดินของเรามันแตกต่างกันยิ่งนัก แท้จริงอาจเหมือนเราอยู่กันคนละโลกเสียด้วยซ้ำ ฉันต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างอดทนบนหนทางที่ฉันเลือก ส่วนคุณ กนก ฉันขอให้คุณพบเจอคนที่อยู่บนเส้นทางเดินเดียวกันกับคุณ และแต่งเติมความฝันนั้นให้แก่คุณจนเต็ม

ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้เธอเสมอ แม้ว่าเราอาจไม่ได้พบกันอีก..

รักและห่วงใย
สาวิณี
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""


กนกค่อยๆเก็บพับจดหมายและเหน็บลงกระเป๋ากางเกงอย่างทะนุถนอมก่อนพบว่าเงินสองพันบาทของเขายังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม




- จบ -

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น